Cleaning, TIPS & TRICK
ตรุษจีนนี้เที่ยวไหนดี..?
เชื่อว่าคนไทยเชื้อสายจีนทุกคนต้องตื่นเต้นกับเทศกาลตรุษจีน นอกจากการจับจ่ายใช้สอย การไหว้ และอั่งเปานั้น สิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างคือ การไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ในวันตรุษจีนนั่นเองค่ะ
วันนี้แอดมินมีสถานที่จัดงานตรุษจีนน่าเที่ยวแต่ละจังหวัดมาแนะนำทุกคนค่ะ
1. จังหวัดสุพรรณ ตรุษจีนเมืองสุพรรณบุรี มหัศจรรย์ 12 ปี มังกรสวรรค์
วันที่ 25-26 มกราคม 2563 เวลา 17.30 – 22.00 น. บริเวณอุทยานมังกรสวรรค์
นอกจากจะได้รับชมกิจกรรมที่ทางจังหวัดจัดแสดงแล้ว ยังมีคอนเสิร์ตจากศิลปินมากมาย
สอบถามรายละเอียอดเพิ่มเติมที่
ที่ทำการปกครองจังหวัดสุพรรณบุรี โทร 035-535380
ททก.สำนักงานสุพรรณบุรี โทร 035-525867 และ 035-525880
ที่มา : http://www.suphan.biz/chinesenewyear.htm
2. เมืองพัทยา
วันที่ 25 มกราคม 2563 บริเวณลานกิจกรรมพัทยากลาง และถนนคนเดินเมืองพัทยา ภายในงานจะพบกับกิจกรรมต่างๆ อาทิเช่น การเชิดสิงโต การแสดงจากศิลปินต่าง ๆ แถมยังมีการประกวดต่าง ๆ
มีการบวงสรวงถวายเครื่องราชสักการะสิ่งศักดิ์สิทธื์เพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่
ฝ่ายส่งเสริมวัฒนธรรมการท่องเที่ยว โทร 0 3825 3100 ต่อ 3130
Pattaya Center 1337 ตลอด 24 ชั่วโมง
ที่มา : https://www.pattayacityevents.com
3. จังหวัดนครสวรรค์ สืบสานงานประเพณี แห่เจ้าพ่อ เจ้าแม่ปากน้ำโพ
วันที่ 18-29 มกราคม 2563 จัดกัน 12 วัน 12 คืนไปเลย กับจังหวัดนครสวรรค์ นอกจากกิจกรรมภายในงานต่าง ๆ ยังมีขบวนแห่ ทั้งกลางวันและกลางคืนด้วยนะคะ
วันที่ 27 มกราคม ขบวนแห่กลางวัน
วันที่ 28 มกราคม ขบวนแห่กลางคืน
พิเศษมากๆสำหรับคนที่ไปร่วมงาน สามารถสักการะองค์เจ้าแม่กวนอิมองค์ต้นแบบ จากประเทศจีน โดยจะประดิษฐาน ณ อาคารพาสาน Landmark
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 0 5622 1811 2
ที่มา : https://www.facebook.com/pg/paknamphochinesenewyear
4. จังหวัดนครราชสีมา
วันที่ 25-27 มกราคม 2563 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป บริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีและถนนจอมพล
ภายในงานมีการออกร้านจำหน่ายอาหารจีนจากภัตตาคารชื่อดังของโคราช รวมถึงมีการแสดงไทยจีนร่วมสมัยต่าง ๆ สัมผัสกลิ่นอายบรรยากาศถนนสายวัฒนธรรม
มีการประกวด Miss Chinese New Year Korat และรับชมดนตรีโฟคซอง ยุค 80-90
สอบถามรายละเอียอดเพิ่มเติม โทร 044 234 600
ที่มา : https://www.facebook.com/PRmunicipalitykorat
5.เยาวราช
วันที่ 25-26 มกราคม 2563 เวลา 12.00 – 00.00 น. บริเวณซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา ถนนเยาวราช
สำหรับใครที่ไม่ได้ออกต่างจังหวัด ก็สามารถเที่ยววันตรุษจีนได้เหมือนกันค่ะ โดยสถานที่จัดก็คุ้นเคยกันอยู่แล้ว นั่นคือเยาวราชนั่นเองค่ะ งานเริ่มเที่ยงวันไปจนเที่ยงคืน เที่ยวกันได้เต็มอิ่มในวันตรุษจีน
ภายในงานมีทั้งการแสดงต่างๆ มีการออกบูธจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
มีมินิคอนเสิร์ตจากสิงโต นำโชค ไอซ์ ศรัญยู และเจนนิเฟอร์ คิ้ม และสัมผัสของดีประจำเยาวราชอีกมากมาย
ที่มา : https://mgronline.com
Cleaning, TIPS & TRICK
แหล่งสะสมเชื้อโรคที่คุณคาดไม่ถึง
แหล่งสะสมเชื้อโรคที่คุณคาดไม่ถึง!!
หากจะกล่าวถึงสิ่งของรอบตัวที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคมากที่สุดหลายคนคงนึกถึง ลูกบิดประตูและกลอนประตูห้องน้ำ ฝาชักโครกบ้างละ วันนี้ ELVIRA จะพามาดูสิ่งของใกล้ตัวที่เราหลายคนคาดไม่ถึงว่า จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ด้วยเหรอ ถ้าอ่านจนจบอาจจะมีอาการอึ้งอยู่ไม่น้อย เฮ้ย!!เป็นไปได้เหรอ ไม่เชื่อลองมาดูของ 13 สิ่งของใช้ใกล้ตัวที่สกปรกที่สุดจนคนใช้อย่างเราคาดไม่ถึงกันค่ะ
1. โทรศัพท์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต
หลายคนอาจเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว มีการวิจัยพบว่าบนจอโทรศัพท์
สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตมีเชื้อโรคสะสมมากกว่าโถส้วมถึง 20 เท่า !
โดยเฉพาะเชื้อโรค E. coli และ Staphyloccocus aureus ซึ่งเป็นสาเหตุ
ของโรคผิวหนังต่าง ๆ โรคปอดอักเสบ และการติดเชื้อในกระแสเลือด
เชื้อโรคเหล่านี้ถูกนำมาติดโดยการใช้นิ้วสัมผัสบนจอโทรศัพท์โดยไม่ได้ล้างก่อนซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รักษาสุขอนามัยถึงขนาดล้างมือบ่อย ๆ
และไม่ยอมทำความสะอาดหน้าจอบ่อย ๆ
ทำให้เชื้อโรคสะสมอยู่บนจอโทรศัพท์ ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว ฉะนั้นเราควรทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตด้วยน้ำยาทำความสะอาดจอทัชสกรีนโดยเฉพาะอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และล้างมือทุกครั้งก่อนและหลังใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต เพราะเป็นการยั้บยั้งเชื้อโรคได้ดีที่สุด นอกจากนี้ไม่ควรใช้โทรศัพท์ร่วมกับใครเพื่อป้องกันเชื้อโรคติดต่ออีกด้วย
2. คีย์บอร์ด เม้าส์คอมพิวเตอร์
บางครั้งสิ่งที่เราละเลยที่จะทำความสะอาดอย่างคีย์บอร์ดและเม้าส์คอมพิวเตอร์เพียงเพราะคิดว่ามันไม่ได้สกปรกซักเท่าไหร่ นี่ล่ะ คือแหล่งสะสมเชื้อโรคตัวฉกาจเลย ไม่ใช่เพียงแค่เจ้าปุ่มเล็ก ๆ บนคีย์บอร์ด หรือปุ่มบนเม้าส์เพียงเท่านั้นที่มีเชื้อโรคสกปรกสะสมอยู่ แต่บรรดาตามซอกเล็กๆ หรือร่องของคีย์บอร์ดก็เป็นแหล่งกักเก็บฝุ่นและเชื้คโรคที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ อันที่จริงการรักษาความสะอาดอุปกรณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และควรแกะคีย์บอร์ดออกมาทำความสะอาดด้วยอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดการสะสมของเจ้าเชื้อโรคตัวฉกาจได้แล้ว
3. รีโมท
เราหยิบจับรีโมทกันอยู่บ่อย ๆ แต่หารู้ไม่ว่ามันคือแหล่งสะสมเชื้อโรคเช่นกัน เพราะน้อยคนจะนึกถึงว่ารีโมทเป็นสิ่งที่ควรทำความสะอาดด้วยเช่นกัน ทำให้บรรดาเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มาจากสัมผัสโดยตรงกับมือของเราซึ่งยังไม่ผ่านการล้างทำความสะอาดตามสุขอนามัยที่ถูกต้อง สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของรีโมท การทำความสะอาดรีโมทก็ไม่ยาก เพียงแค่ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดทำความสะอาดบ่อย ๆ และควรล้างมือก่อนและหลังจับรีโมทเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
4. ผ้าเช็ดตัว
ผ้าเช็ดตัวเป็นสิ่งที่ไม่ควรใช้ร่วมกัน เพราะในผ้าเช็ดตัวนั้นมีเชื้อโรค Staphylococus ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังซุกซ่อนอยู่ ลองคิดดูว่านอกจากเชื้อโรคแล้วยังมีเซลล์ผิวหนังเก่าที่ต้องมีการผลัดเซลล์ผิว เมื่ออาบน้ำแล้วใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดทุกๆวันหลังอาบน้ำจะเกิดการสะสมของเซลล์ผิวเก่าเราทับถมกันมากขนาดไหน ฟังแล้วน่าขนลุกขึ้นรึยังคะนอกจากนี้หากปล่อยให้ผ้าเช็ดตัวชื้นเป็นเวลานานก็จะทำให้เกิดเชื้อราอีกด้วยทางที่ดีเราควรเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อสุขอนามัยที่ดี และควรนำผ้าเช็ดตัวไปตากในที่แห้งทุกครั้งหลังจากใช้ เพื่อให้ไม่เกิดเชื้อรา
5. แปรงสีฟัน
แปรงสีฟันเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดเพราะเราต้องเอามันเข้าปากอยู่เช้าเย็น ดังนั้นต้องควรรักษาความสะอาดอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้ว่าเราจะทำความสะอาดอย่างไรแต่ผลวิจัยก็เคยพบว่า ในแปรงสีฟันก็ยังมีเชื้อจุลินทรีย์อย่างน้อย 10 ล้านตัว!!! ยิ่งถ้าวางอยู่ใกล้บริเวณชักโครกก็ยิ่งสกปรกขึ้นอีก นอกจากนี้ยังมีเชื้อโรคที่ติดมาจากน้ำลายและเสมหะของผู้ใช้อีกด้วย ดังนั้น นอกจากทำความสะอาดแปรงสีฟันให้สะอาดทุกครั้งที่ใช้แล้ว เราควรทำความสะอาดที่เก็บแปรงสีฟันให้สะอาดอยู่เสมอ และควรเปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุก 3 เดือน เพื่อสุขอนามัยของช่องปากและสุขภาพของตัวเราเอง
6. สวิตช์ไฟ
สวิตช์ไฟเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่เราต้องใช้อยู่ทุกวันแต่ก็ละเลย จากการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่า บนสวิตช์ไฟมีเชื้อแบคทีเรียถึง 217 ตัวต่อตารางนิ้ว โดยเฉพาะสวิตช์ไฟห้องน้ำนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่มากกว่าหลายเท่าตัว ทำให้เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคชั้นดีไปสู่บุคคลอื่นๆ จากการสัมผัสอีกด้วย เมื่อพูดถึงสวิตซ์ไฟก็ให้เลยไปนึกถึงปุ่มกดลิฟต์ที่หลายๆคนก็คงนึกไม่ถึงเช่นกัน โดยปกติลิฟต์จะมีในตึกอาคารสูงๆ เท่ากับเป็นแหล่งที่ผู้คนพลุกพล่านจะขึ้นลงทีก็ต้องใช้นิ้วเรากดทีไม่ต่างกับสวิตซ์ไฟ ดังนั้นหลังจากออกจากลิฟต์แนะนำให้ควรล้างมือทุกครั้งจะดีต่อสุขอนามัยมากกว่านะคะเพราะเราไม่รู้เลยว่า ปุ่มกดลิฟต์ที่เรากดๆ จิ้มๆ กันนั้นทางอาคารได้มีการเช็ดล้างฆ่าเชื้อกันมากน้อยแค่ไหน
รู้แบบนี้แล้ว อย่าละเลยทำความสะอาดสวิตช์ไฟเด็ดขาด เพียงใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะช่วยทำให้สวิตช์ไฟของเราสะอาดและปราศจากเชื้อโรคค่ะ
7. เงิน
“เงิน” ชื่อนี้น่าฟังยิ่งนัก ยิ่งเป็นเงินของเราแล้วยิ่งฟังดูไพเราะเพราะเสียนี่กระไร แต่ใครจะรู้ว่า เงินนี้ ไม่ว่าจะเป็นธนบัตรหรือเหรียญต่างก็เต็มไปด้วยเชื้อโรคที่ส่งผ่านกันมามือต่อมือ ซึ่งเป็นแหล่งเชื้อโรคที่ผู้คนละเลยมากที่สุด โดยผลการศึกษาจากคณะนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ระบุว่า บนธนบัตร 1 ใบ จะมีเชื้อแบคทีเรียสะสมโดยเฉลี่ย 26,000 ตัว ฟังแล้วน่าตกใจมิใช่น้อย ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้มีผลอันตรายกับผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำทั้งนี้ แม้เราจะไม่สามารถทำความสะอาดธนบัตรหรือเหรียญที่รับมาได้ แต่การรักษาความสะอาดที่ดีที่สุดคือการล้างมือทุกครั้งที่จับหรือสัมผัสกับเงิน เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคเหล่านั้นค่ะ
8. กระเป๋าสะพาย เป้ กระเป๋าสตางค์
เราใช้กระเป๋าชนิดต่าง ๆ ในการเก็บข้าวของ แต่หารู้ไม่ว่าภายในกระเป๋าคือแหล่งกักเก็บเชื้อโรคที่เราคาดไม่ถึงเชียวล่ะ มีการวิจัยพบว่าบริเวณก้นกระเป๋านั้นเต็มไปด้วยเชื้อโรคมากกว่าหมื่นตัว นอกจากนี้กระเป๋าสตางค์ก็เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่อันตรายไม่แพ้กัน ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้มาจากธนบัตรและเหรียญนั่นเอง เชื้อโรคส่วนใหญ่ที่พบล้วนเป็นอันตราย ได้แก่ Staphylococcus สาเหตุของทำให้เกิดตาแดง นอกจากนี้ยังมีเชื้อ Salmonella และ E.coli ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ และท้องเสียอีกด้วย
วิธีการรักษาความสะอาดก็ไม่ยาก เพียงนำกระเป๋าไปตากแดด
เพื่อฆ่าเชื้อโรคและหมั่นทำความสะอาดกระเป๋าบ่อย ๆ
ด้วยทิชชู่เปียกที่มีสารเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยง
การนำกระเป๋าไปวางในที่ที่สกปรกด้วย
9. เครื่องปรับอากาศ
ใครว่าเครื่องปรับอากาศที่ใช้กันอยู่เป็นประจำนั้นไม่มีเชื้อโรค มันคือแหล่งกักเก็บและแพร่เชื้อโรคชั้นดีเลยต่างหากล่ะ เพราะเชื้อโรคที่อยู่ในอากาศนั้นจะถูกดักเอาด้วยแผ่นกรองอากาศ แต่บางครั้งเราก็ลืมที่จะนำมันออกมาทำความสะอาดจนแผ่นกรองอากาศเหล่านั้นสกปรกทำให้เชื้อโรคเหล่านั้นแพร่กระจายออกมา ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภัยต่าง ๆ เช่น ภูมิแพ้ ผื่นผิวหนังอักเสบ หืดหอบ ปอดบวมจากเชื้อลีเจียนแนร์ วัณโรค สุกใส งูสวัด หัดเยอรมัน และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ เอาละสิงานนี้ เวลาอากาศร้อนๆ จะวิ่งเข้าหาแอร์ฉ่ำๆ คงมีคิดกันบ้างละ หากจะให้ดีเราควรหมั่นทำความสะอาดภายในบริเวณเครื่องปรับอากาศอยู่เสมอเพียงเรานำแผ่นกรองอากาศออกมาทำความสะอาดเดือนละครั้ง และควรจะล้างแอร์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เท่านี้ก็อุ่นใจขึ้นมาบ้าง
10. หมอน – เตียงนอน
สองสิ่งนี้ใครจะคิดละ ในเมื่อก่อนจะเข้านอนก็อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายมาแล้วก่อนเข้านอนทุก ๆ คืนนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรก เพราะในทุกคืนที่เรานอนหลับนั้นผิวของเราก็จะผลัดเซลล์ที่ตายออก ซึ่งตกอยู่บนเตียงนอนและหมอน นอกจากนี้ยังมีบรรดาเศษสิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มาจากกิจกรรมที่เราทำบนเตียงนอน ไม่ว่าจะเป็นการนอนโดยไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า การนำของมาวางไว้ หรือแม้แต่การนำอาหารขึ้นมากินบนเตียงนอน และเมื่อเรานอนในเวลากลางคืนก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เชื้อโรคเหล่านั้นจะเข้าสู่ร่างกายของเรา
อย่างไรก็ตาม แสงแดดและน้ำร้อนสามารถทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคที่อยู่บนหมอนและเตียงนอนได้ เพียงนำปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนมาซักด้วยน้ำร้อนสัปดาห์ละครั้ง และหมั่นนำเอาหมอนและเตียงนอนมาตากแดดบ่อย ๆ เท่านี้ก็เป็นการกำจัดเชื้อโรคและเศษสิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้ค่ะ
11. ฝักบัว
ฝักบัวเป็นแหล่งสะสมเชื้อราและแบคทีเรียที่เราละเลยทั้งที่ใช้อยู่ทุกวัน เพราะคงจะหาคนที่ทำความสะอาดฝักบัวทุกวัน หรือแม้แต่จะทำความสะอาดทุกสัปดาห์ก็ยังเป็นไปได้ยาก ซึ่งเชื้อโรคที่อยู่ในฝักบัวนั้นเป็นสาเหตุของโรคปอดอีกด้วยค่ะ
การทำความสะอาดฝักบัวในเบื้องต้นคือการนำน้ำส้มสายชูหรือแอมโมเนียเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และหมั่นถอดฝักบัวออกมาทำความสะอาดด้วยแปรงสีฟันกับผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจาน หากเป็นฝักบัวที่ถอดออกไม่ได้ ก็นำถุงพลาสติกใส่น้ำส้มสายชูแล้วนำหัวฝักบัวแช่ในถุงข้ามคืนหลังจากนั้นค่อยทำความสะอาดอีกครั้งหนึ่งค่ะ
12. อ่างล้างจาน ฟองน้ำ
อ่างล้างจาน
เชื่อรึเปล่าคะว่า บริเวณอ่างล้างจานในบ้านเรา แต่ละตารางนิ้วนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 500,000 ตัวทั้งชนิดที่รุนแรงและไม่รุนแรง อย่างเช่น “เชื้อซัลโมเนลล่า” ซึ่งเป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษหรืออุจจาระร่วง OMG!!! ตายแล้วน่ากลัวมากๆ หากนำไปใช้ล้างและขัดถูภาชนะต่าง ๆ คนเราก็มีสิทธิ์เอาเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ วิธีทำความสะอาดขจัดคราบที่คู่ควรกับตัวเลขห้าแสนนี้ ก็คือ ใช้โซดาไฟหรือน้ำส้มสายชูราดทำความสะอาดมันซะ แล้วตามด้วยน้ำเปล่าตามไปอีกที หรือใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับล้างอ่างล้างจานที่มีสารกำจัดเชื้อแบคทีเรียล้าง อ่างล้างจานอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เท่านี้ก็ช่วยจัดการกับเชื้อโรคได้แล้วส่วนนึง
ฟองน้ำล้างจาน
ด้วยวัสดุและรูป ลักษณ์ของมันที่เต็มไปด้วยรูพรุนที่สามารถให้น้ำ อากาศ ออกซิเจน เศษอาหารเข้าไปอาศัยอยู่ จึงเป็นแหล่งชุมชนแออัดของเหล่าเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี แล้วคิดดูสิคะว่า ฟองน้ำที่เราใช้ล้างจานอยู่ที่บ้านทุกวันนั้นจะสกปรกแค่ไหน อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ เราสามารถทำความสะอาดฟองน้ำให้ปราศจากเชื้อโรคได้โดยวิธีง่ายๆ คือ เอาไปต้มหรือให้ความร้อนผ่านไมโครเวฟซัก 60 วินาที หรือนำฟองน้ำที่ใช้สำหรับล้างจานไปตามแดดอย่างน้อย 2 -3 ชั่วโมงเพื่อให้แสงแดดช่วยทำลายกรดและเชื้อแบคทีเรียในฟองน้ำแค่นี้ก็จัดการกับเชื้อโรคตัวร้ายได้แล้วล่ะ
13. ตู้เย็น
ใครจะคิดว่าที่ ที่เราใช้เก็บอาหาร กับข้าวที่เราไว้ทานอย่างตู้เย็นจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่างๆ ด้วย เพราะเชื้อโรคเป็นจำนวนเติบโตได้ดีในอากาศเย็น ทำให้เชื้อโรคที่ติดมากับภาชนะใส่อาหารหรืออาหารสดต่าง ๆ สามารถเติบโตและแพร่กระจายอยู่ในตู้เย็น โดยเฉพาะเจ้าแบคทีเรียที่ชื่อ ลิสเทอเรีย (Listeria) ซึ่งหากเข้าสู่ร่างกายอาจทำให้เกิดอาการหนาวสั่น ปวดท้อง หรือปวดศีรษะได้ ดังนั้นเราจึงควรหมั่นเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และควรเช็ดทำความสะอาดตู้เย็นด้วยน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อเดือนละครั้งอีกด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเราจะเข้าใจว่ามีเพียงวิธีการเดียวที่จะเป็น สิ่งที่ป้องกันเชื้อโรคต่างๆ รอบตัวได้นั่นก็คือการรักษาความสะอาดและสุขอนามัยของตนเองรวมทั้งสิ่งของ สถานที่ต่างๆ ใกล้ตัวอยู่เสมอ ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะหลีกไกลจากการเจ็บป่วย เริ่มต้นง่าย ๆ เพียงแค่ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสกับสิ่งสกปรก เพียงแค่นั้นเราก็จะมีสุขภาพที่ดีได้
ข้อมูลจาก : www.kaijeaw.com, health.kapook.com, www.dek-d.com, www.manager.co.th,
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
สารพัดประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวเพื่อสุขภาพผิวสวย
น้ำมันมะพร้าวบำรุงผิวพรรณ
มะพร้าวเป็นไม้ยืนต้นที่อยู่คู่คนไทยมานาน และถือเป็นพืชที่นำมาใช้ประโยชน์ได้เกือบทุกส่วน วันนี้ ELVIRA จะแนะนำส่วนที่เป็นน้ำมันจากลูกมะพร้าวซึ่งจริงๆแล้วมีประโยชน์หลายด้านมากแต่วันนี้เราจะมาดูประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวในด้านสุขภาพและความงามกัน ปัจจุบันนี้ “น้ำมันมะพร้าว”ถูกนำมาใช้ด้านความสวยความงามกันอย่างแพร่หลาย มาดูกันเลย
บำรุงผิวพรรณ
น้ำมันมะพร้าวมีสรรพคุณโดดเด่นในการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ด้วยคุณสมบัติเด่นคือ ปกป้องผิวพรรณจากแสงแดด ลม ฝุ่นละออง และอุดมด้วยสารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงและซ่อมแซมเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ผิวหนังให้แข็งแรงกลับมามีชีวิตชีวา เช่น วิตามินอี และมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้น ทั้งเก็บรักษาความชุ่มชื้นในชั้นผิวหนังเอาไว้ ทำให้เซลล์ผิวเต่งตึง ช่วยลดริ้วรอยที่มักเป็นปัญหาที่น่ากังวลใจของผู้ที่มีริ้วรอยก่อนวัย และผู้สูงวัยอย่างได้ผล ในสมัยโบราณนับว่าเป็นเคล็ดลับในการดูแลผิวที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักใช้น้ำมันมะพร้าวทาหน้าเพื่อใช้บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสไม่แห้งกร้าน เพื่อลดรอยเหี่ยวย่น แนะนำว่าหากจะใช้ทาให้ทาเฉพาะตอนกลางคืนหรือช่วงก่อนเข้านอน
นอกจากบำรุงผิวพรรณแล้วยังแก้ปัญหาส้นเท้าแตกด้วยการทาน้ำมันมะพร้าว และนวดคลึงทุกวันก่อนนอนติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อหายแล้วให้ใช้ต่อไปเรื่อย ๆ รอยแตกจะไม่กลับมากวนใจเราอีก
รักษาสิว
น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริก (lauric acid) ช่วยขจัดเชื้อแบคทีเรีย บนใบหน้าป้องกันปัญหาใหญ่อย่างสิวเรื้อรัง ลดการอักเสบของสิว นอกจากนี้ยังมีวิตามิน E และวิตามิน K ช่วยลดรอยแผลเป็นหลังเกิดสิว น้ำมันมะพร้าวยังเหมาะกับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย สามารถใช้ได้ทุกวัน
นอกจากรักษาสิวแล้วยังมีผลการศึกษาอีกมากมายพบว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น โรคเรื้อน โรคสะเก็ดเงิน และหากใช้เป็นประจำน้ำมันมะพร้าวยังช่วยสมานแผลต่างๆ ได้ด้วย
บรรเทาผิวหน้าลอกแห้ง
น้ำมันมะพร้าวใช้ทาช่วยแก้อาการผิวแห้ง ผิวแตก ผิวลอก ผิวเป็นขุยได้ สาวๆ หลายคนมีปัญหาผิวหน้าลอก แห้ง ทาแป้งหรือเครื่องสำอางอยู่ไม่ทนและครีมบำรุงผิวไม่ซึมสู่ผิวหนัง สาเหตุเกิดจากผิวหนังผลัดเซลล์ผิวได้ไม่ดี หรือผิวขาดน้ำ น้ำมันมะพร้าว ช่วยได้โดย ทาน้ำมันมะพร้าวทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 10-30 นาที แล้วล้างออก ส่วนคนที่ผิวหน้าแห้งมากอาจใช้น้ำมันมะพร้าวทาแทนครีมบำรุงประเภทมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับกลางคืนได้เลย
บำรุงผิวหน้า
สารอนุมูลอิสระ เป็นตัวการอันหนึ่งของการเกิดฝ้า และ กระ วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะทำหน้าที่ต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ป้องกันรอยหมองคล้ำ ตามปกติผิวหนังจะสูญเสียความชุ่มชื้น เพราะถูกแดดและลม
น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็นสารรักษาความชุ่มชื้น รักษาอาการผิวแห้ง แตก ลอก เป็นขุย ลดอาการผื่นแพ้ แสบคันตามผิวหนัง จึงช่วยให้ผิวนวลเนียน อีกทั้งช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวทาแก้ผิวไหม้แดด อาการแสบร้อนจะบรรเทาลง
น้ำมันมะพร้าวคือสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ นำสำลีชุบน้ำอุ่นแล้วบีบน้ำออก หยดน้ำมันมะพร้าว 2-3 หยดลงบนสำลีทาให้ทั่วใบหน้า สามารถทิ้งไว้ได้โดยไม่ต้องล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มไม่แห้งกร้าน รู้สึกว่าผิวหน้าละเอียดขึ้น หน้าเนียนขึ้น รอยด่างดำจากสิวจางลงมากอย่างไม่น่าเชื่อ
ใช้ทาหน้าบางๆ ก่อนนอนแทนครีมบำรุงผิว แนะนำว่าต้องเป็นน้ำมันมะพร้าวแบบสกัดเย็น เพราะน้ำมันมะพร้าวที่ผ่านความร้อนจะทำให้วิตามิน E สลายไป ไม่เหมือนการสกัดเย็นที่ยังได้คุณค่าของน้ำมันมะพร้าวครบ
นอกจากจะใช้ทาบำรุงผิวหน้าแล้ว ผิวกายก็ควรใช้ร่วมด้วย เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดเมื่อย ปวดข้อต่างๆ ใช้เป็นประจำทุกวัน อุดมด้วยวิตามิน E ช่วยปกป้องรังสี UV
สมานผิวป้องกันหน้าท้องแตกลาย
น้ำมันมะพร้าวช่วยเร่งฟื้นฟูผิว โดยเฉพาะคุณแม่ที่เริ่มตั้งครรภ์ หากใช้ทาก่อนหน้าท้องเริ่มขยาย จะช่วยป้องกันการแตกลายของผิวที่ค่อยๆ ยืดขยายตัวโดยใช้น้ำมันมะพร้าวนวดผิวบริเวณที่กำลังขยายเป็นประจำทุกเช้า-เย็น จะช่วยทำให้ผิวบริเวณนี้มีความชุ่มชื้นไม่แห้งแตกลายได้
รอยคล้ำใต้ดวงตา
ผิวบริเวณใต้ดวงตานั้นมีความบอบบางมาก สามารถเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ถุงใต้ตา หรือรอยคล้ำใต้ตาได้ง่าย น้ำมันมะพร้าวก็มีคุณสมบัติบำรุงผิวรอบดวงตาได้เหมือนกับอายครีม จะทำให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มและละเอียดขึ้น ขนตายาวขึ้นอีกด้วย
เช็ดเครื่องสำอาง สะอาดหมดจด
ใช้น้ำมันมะพร้าวหยดบนสำลีพอประมาณแล้วเช็ดให้ทั่วใบหน้า สามารถใช้เช็ดเครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตา และริมฝีปากหมดเกลี้ยง สำหรับผู้ที่แต่งหน้าสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเช็ดทำความสะอาดได้ 2 รอบเพื่อความสะอาดอย่างหมดจด เมื่อเช็ดด้วยน้ำมันมะพร้าวทั่วทั้งใบหน้าแล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที คราบเครื่องสำอางจะหลุดออกหมด ตามด้วยล้างออกด้วยสบู่ หลังจากนั้นซับหน้าให้แห้ง
น้ำมันมะพร้าวซึ่งมีโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถแทรกซึมทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก ช่วยลดการเกิดสิว ฝ้า และการสะสมของสารเคมีจากเครื่องสำอาง ช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับ เต่งตึง ผิวหน้าเนียนใส และช่วยขจัดสิ่งอุดตันที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว อย่างได้ผล
อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันมะพร้าวบำรุงสุขภาพนั้น หากต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ก็ควรดูตามความเหมาะสมของสุขภาพเราด้วย เพราะถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ยังเป็นน้ำมันอยู่ดี หากร่างกายได้รับในปริมาณมาก ผลลัพธ์ก็อาจตรงกันข้ามก็ได้
ข้อมูลจาก : www.medthai.com, www.health.haijai.com, www.greenshopcafe.com, health.kapook.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
5 ผลไม้บำรุงเลือดเพื่อสุขภาพผิวสวย
5 ผลไม้บำรุงเลือดเพื่อสุขภาพผิวสวย
ในผลไม้ที่เรารับประทานอยู่ทุกวันเป็นประจำจริงๆแล้วมี ธาตุ และสารอาหารหลัก เช่น ธาตุเหล็ก โปรตีน และกรดอะมิโนต่างๆ ซึ่งไม่ได้มีแค่ให้ความอร่อย หรือให้แค่วิตามินและดูแลผิวพรรณให้ดูสวยสุขภาพดีเท่านั้นนะแต่มีดีกว่านั้น เพราะว่าผลไม้ที่มีอยู่หลากหลายชนิดยังช่วยในการบำรุงเลือดได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยบำรุงเนื้อเยื้อต่างๆให้แข็งแรงอีกด้วยในบทความนี้ ELVIRA จะพามารู้จักประโยชน์ของผลไม้ที่เกี่ยวกับเฮโมโกลบิน อันจะส่งผลดีต่อเชลล์เม็ดเลือดแดงของเรา เป็นปัจจัยต้นๆที่ทำให้ ผิวของเราสดใส อยู่ตลอดเวลา ตามมาอ่านเรื่องน่ารู้ของบรรดาเหล่าผลไม้ที่มีผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือดและช่วยบำรุงเลือดและสร้างสุขภาพให้ดีขึ้นกันค่ะ
1. แตงโม
อากาศร้อนๆทีไรให้คิดถึง ผลไม้ ที่มีเนื้อสีแดงๆ ฉ่ำน้ำนี้ทุกที ใครจะรู้ว่าในแตงโมมีประโยชน์ต่อกล้ามเนื้อหัวใจคนเรา จากผลการวิจัยของมหาลัยชื่อดังของสหรัฐอเมริกาพบว่า หากเรารับประทานแตงโมเพียงครึ่งผล ต่อวัน จะเป็นผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือด เพราะแตงโมมีกรดอมีโนอาร์จินีน (Arginine) ที่ร่างกายไนตริกออกไซด์ (Nitric oxide) เพื่อให้เลือดมีคุณภาพมากขึ้นถึง 22 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีผลป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และก็ป้องกันภาวะหลอดเลือดแข็งตัว พอรู้แบบนี้แล้วใครที่ไม่ชอบทานแตงโม คงต้องหันมาทานแตงโมแล้วละงานนี้
2. แก้วมังกร
แก้วมังกรนั้นอุดมไปด้วยโปรตีน จึงทำให้ผู้ที่รับประทานแก้วมังกรอยู่เป็นประจำมีผิวที่ไร้ริ้วรอย ดูเรียบเนียน เต่งตึง จากผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรส่วนเนื้อสีแดงนั้นมีผลดีต่อระบบไหลเวียนของเลือด แถมยังมีธาตุเหล็กในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเชลล์เม็ดเลือดอีกด้วย นอกจากนั้นไฟเบอร์ที่มีอยู่ในแก้วมังกรนั้นยังช่วยฟื้นฟูและสร้างความแข็งแรงให้กับบริเวณช่องคลอด รวมไปถึงบรรเทาอาการตกขาวของผู้หญิงได้อีกด้วย
3. กล้วย
กล้วยอีกหนึ่งผลไม้ที่มีสารพัดประโยชน์ ในกล้วยนั้นมีแมกนีเซียมเป็นจำนวนมาก นอกจากช่วยให้อิ่มท้อง และช่วยเรื่องขับถ่ายแล้ว ยังช่วยบำรุงผิวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยจากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี นอกจากประโยชน์ที่กล่าวมาแล้วกล้วยยังเป็นผลไม้หาซื้อรับประทานได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไปและราคาไม่แพงอีกด้วย
4. สตรอเบอร์รี่
สตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้ของโปรดของใครหลายคนมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ซึ่งรสชาติเปรี้ยวที่ว่านั้นก็มีคุณสมบัติของวิตามินC ที่ช่วยในการบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดงนั่นเอง รวมถึงตัวเมล็ดเล็กๆ ในผลสตรอเบอร์รี่ ยังช่วยในการลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสียอีกด้วย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่าอาสาสมัครผู้บริโภคสตรอเบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน ผลการตรวจเลือดของพวกเขาพบว่ามีเชลล์เม็ดเลือดแดงอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติมาก จึงส่งผลให้พวกเขาเหล่านั้นมีผิวพรรณภายนอกที่สดใส ดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น ดีขนาดนี้ใครจะอดใจไหว
5. ทับทิม
ทับทิมเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติหลากหลาย หนึ่งในประโยชน์ที่แสนดีของทับทิมคือช่วยรักษาอาการของผู้ป่วยเบาหวานจากผลการวิจัยจากมหาลัยชื่อดังของสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานทับทิมเป็นประจำทำให้หายจากโรคเบาหวานได้เพราะ ในทับทิมมีคุณสมบัติช่วยกักเก็บเชลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยลดระดับอินซูลินในกระแสเลือด สร้างระบบไหลเวียนโลหิตให้เป็นปกติ ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งขึ้นอีกด้วย โดยทดลองจากผู้ป่วยโรคเบาหวาน 10 คนให้ดื่มน้ำทับทิมวันละ 1 แก้ว เป็นระยะเวลา 3 เดือน เห็นผลว่ามีระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และมีอาการอ่อนเพลีย ผมร่วง น้อยลงมาก แถมยังมีผิวพรรณที่ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย
ประโยชน์ดีแบบนี้ก็ต้องหมั่นทานกันเป็นประจำนะคะ นอกจากจะเสริมสร้างสุขภาพดีๆ แล้วยังดีต่อระบบขับถ่ายและผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นอีกด้วย ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นนะที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิตเลือดได้อย่างเป็นปกติยังมีวิธีที่ง่ายๆ อีกที่จะช่วยบำรุงเลือดคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้แล้ว
ข้อมูลจาก : www.tescolotus.com, health.kapook.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
การทำความสะอาดหลังงานปาร์ตี้
การทำความสะอาดหลังงานปาร์ตี้
เชื่อแน่ว่า หลายๆ คนต้องกุมขมับหลังจากตื่นขึ้นมาเจอสภาพบ้านหลังงานปาร์ตี้ที่สนุกสุดเหวี่ยงเมื่อคืน แต่กำลังเป็นเรื่องหนักอกในการทำความสะอาด เสียนี่! วันนี้ ELVIRA มีเคล็ดลับการทำความสะอาดคราบต่างๆ หลังงานปาร์ตี้มาบอกเล่า แฟนๆ ที่ชอบปาร์ตี้อ่านเคล็ดลับนี้แล้วจะหมดความหนักอกหนักใจได้อย่างแน่นอนค่ะ
การขจัดคราบเขม่าบนผนังห้องครัว
ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำธรรมดาเพื่อกำจัดฝุ่นก่อน หลังจากนั้นผสมน้ำยาซักผ้าขาวประมาณ 2 ถ้วย น้ำอุ่น 1 ถัง และน้ำสบู่ประมาณ 6 ถ้วย ผสมให้เข้ากันแล้วใช้ผ้าชุบน้ำยาที่ผสมแล้วเช็ดผนังคราบเขม่าที่เลอะ คราบสกปรกก็จะหมดไป
การขจัดคราบน้ำมันบนเตาแก๊ส
ใช้น้ำต้มข้าวข้นๆ เช็ดบนเตาแก๊ส แล้วรอให้น้ำข้าวแห้งจับตัวเป็นแผ่นแล้วลอกออก คราบน้ำมันก็จะติดมากับแผ่นน้ำข้าวแห้ง หรือให้น้ำข้าวหรือน้ำต้มบะหมี่แบบเจือจางล้างเตาแก๊สก็สามารถกำจัดคราบน้ำมันบนเตาแก๊สได้
การขจัดคราบน้ำมันในห้องครัว
บริเวณที่เลอะน้ำมันมากให้ฉีดน้ำยาทำความสะอาดห้อง
แล้วให้ใช้กระดาษทิชชูปูทับ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
คราบน้ำมันส่วนใหญ่จะติดมากับกระดาษทิชชู
แล้วเช็ดซ้ำอีกครั้งด้วยทิชชูก็จะทำให้บริเวณนั้นสะอาด
การขจัดคราบเปื้อนจากซอส
คราบเปื้อนจากบรรดาซอสต่างๆ กำจัดได้ง่ายๆ ด้วยการแช่ผ้าลงในน้ำเย็นผสมสบู่ล้างมือ 1/2 ช้อนชา กับน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด ถ้ายังมีคราบหลงเหลืออยู่ให้ทำความสะอาดอีกครั้งด้วยน้ำยาขจัดคราบไคล แล้วซักทำความสะอาดอีกครั้งด้วยน้ำอุ่น จากนั้นเป่าให้แห้ง แต่ถ้าคราบยังฝังแน่นอยู่ ให้แช่ผ้าในน้ำยาซักผ้า 20 นาที จากนั้นก็ซักทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นอีกครั้ง อย่าใช้ความร้อนเช่น การ ใช้ไดร์เป่าแห้งเด็ดขาด หรือรีดในขณะที่คราบยังไม่หมดไป เพราะความร้อนเหล่านี้จะยิ่งทำให้คราบฝังแน่นขึ้นไปอีก
คุณสามารถแช่ผ้าที่เปื้อนซอสกับน้ำยาขจัดคราบไคลของ RIKA แล้วขยี้ผ้าบริเวณที่เปื้อนจนไม่เหลือคราบ แล้วจึงล้างน้ำสะอาด หากคราบยังออกไม่หมด แนะนำให้ใช้น้ำยาขจัดคราบไขมันของ RIKA ทำความสะอาดเฉพาะจุดที่เปื้อน เพียงเท่านี้ผ้าก็กลับมาสะอาดใหม่ใช้ได้เหมือนเดิมจ้า
การขจัดคราบไวน์แดงสุดหรู
คราบนี้บ่งบอกได้เลยว่าคุณมีฐานะมากเลยทีเดียว
แต่อาจจะเสียเซลฟ์กันบ้างถ้าคราบนี้เกิดขึ้นในเวลาสำคัญๆ
มาแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนกัน ด้วยการเปิดน้ำให้ไหลผ่านจุดที่มีคราบไวน์
จากนั้นใช้เกลือถูรอบๆ คราบ แล้วทิ้งไว้ 10 นาที ให้เกลือดูดคราบออก
ก่อนนำไปซักด้วยน้ำเย็นก็จะเห็นผลทันทีหรือจะใช้น้ำยาขจัดคราบไขมัน
ของ RIKA ทำความสะอาดเฉพาะจุดที่มีคราบไวน์แดง ก็เอาอยู่เช่นกัน
จุดรอยเปื้อนบนพรม
คุณแม่บ้านหลายท่านต้องกุมขมับ เพราะพรมสกปรกเป็นจุดเล็กๆ เต็มไปหมด ครั้นจะจ้างช่างมาซักก็ดูเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าอย่างนั้นมาลองสูตรแจ่มๆ ที่คุณไม่ต้องยกหูจ้างใครมาช่วย แค่ผสมน้ำส้มสายชู ¼ ถ้วยตวงกับน้ำเปล่า ¼ ถ้วยตวงขัดล้างตรงบริเวณที่มีรอยคราบ เพียงเท่านี้พรมก็กลับมาสะอาดเหมือนเดิมแล้วค่ะ
พื้นปาร์เก้
เป็นอีกวัสดุปูพื้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ก็ทำความสะอาดยากที่สุดเหมือนกัน เพราะถ้าไม่รู้หรือไม่ระวังแล้ว ตัวไม้จะสึก จะเป็นรอย กร่อนไปหมด สีซีดด่าง และไม่สวยเลย เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดคือการใช้เครื่องดูดฝุ่นหรือไม้กวาดกำจัดเอาเศษผงออกไปรอบนึงก่อน จากนั้นใช้ผ้าหมาดๆ เช็ดซ้ำอีกที แต่มีข้อควรระวังคือ ห้ามใช้ของที่มีฤทธิ์เป็นกรดเด็ดขาด เพราะจะกัดเนื้อไม้จนเสียได้
พื้นกระเบื้องหิน
วิธีทำความสะอาดแบบเบสิคที่สุดคือ ให้ไปซื้อน้ำยาสำหรับทำความสะอาดพื้นผิวจำพวกหิน หินห่อน หรือหินปูนโดยเฉพาะ นำมาละลายกับน้ำให้เจือจาง จากนั้นใช้ไม้ถูพื้นมาดูตามปกติ อย่างไรก็ตาม อย่าลืมเป็นอันขาดว่าไม่ควรใช้ของเหลวจำพวกกรด เพราะจะทำลายเนื้อหินและเกิดรอยด่างได้
สำหรับแฟนพันธุ์แท้ ของ ELVIRA ที่มีเครื่องทำความสะอาด
ระบบไอน้ำรุ่น C2 อยู่แล้ว ก็สามารถใช้เครื่องนี้ทำความสะอาดคราบเขม่า
บนผนังห้องครัว, คราบน้ำมันบนเตาแก๊ส, คราบรอยเปื้อนบนพรม,
คราบที่พื้นบ้านทั้งพื้นกระเบื้องหินรวมทั้งพื้นปาร์เก้
ก็สามารถทำความสะอาดได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้สารเคมีทั้งสะอาด
ปลอดภัย และสามารถทำได้ด้วยตัวเอง
แค่นี้ก็ทำให้ เรื่องยากๆ ของการ ทำความสะอาด ให้กลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นแล้ว
ลองทำความสะอาดตามทริคที่ว่านี้ดูสิคะ แล้วคุณจะรู้ว่าคราบที่หนักอกตอนเริ่มต้นจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน
ข้อมูลจาก : kapook.com, food.mthai.com, www.cleanipedia.com, www.iurban.in.th/review/elvirac2
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
การทำความสะอาดโซฟาหนัง
การทำความสะอาดโซฟาหนัง
โซฟา (Sofa) ถือว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเอกในบ้านสำหรับการต้อนรับแขกกันเลยทีเดียว ซึ่งโซฟาจะมีหลากหลายแบบ มีทั้ง แบบหนัง แบบผ้า ซึ่งผู้คนส่วนมากนิยมกันใช้แบบหนังมากกว่าแบบผ้า เพราะจะง่ายในการทำความสะอาด ฉะนั้นทุกบ้านควรหมั่นทำความสะอาดโซฟา ไม่ให้มีกลิ่นเหม็น ซึ่งมีวิธีในการรักษาโซฟา ดังนี้
โซฟาหนัง
หนังแท้เป็นหนังที่ได้จากสัตว์ ส่วนใหญ่จะเป็นหนังวัว จะมีอายุในการใช้งานได้นาน เพราะมีคุณสมบัติที่แข็งแรง ทนทานมากกว่าโซฟาชนิดอื่น และการทำความสะอาดก็ง่าย โดยไม่ต้องใช้เวลาในการดูแลรักษามาก
การทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์หนัง โดยเฉพาะโซฟานั้น ต้องมีวิธีการที่ถูกวิธีเพื่อให้มีความสะอาดและคงสภาพอันสวยงาม และต้องหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ พร้อมต้องมีความพิถีพิถัน เพื่อป้องกันการเสียหายของหนังโซฟาจากการทำความสะอาดที่ผิดวิธี ซึ่งการทำความสะอาด มีขั้นตอนดังนี้
1. ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดให้ทั่วโซฟา
โซฟานั้นจะมีช่องว่างระหว่างเบาะรองนั่งเราต้องดูดออกมาให้หมด จากนั้นเช็ดให้ทั่วด้วยผ้าสะอาดเนื้อนุ่ม
ขั้นตอนนี้จะทำให้ฝุ่นผงไม่ฝังติดกับหนังขณะคุณทำความสะอาดต่อในขั้นถัดไปในขณะที่ดูดฝุ่น ระวังชิ้นส่วนทำความสะอาดที่ทำจากพลาสติกด้วยล่ะ เดี๋ยวจะไปข่วนจนหนังเป็นรอย การทำความสะอาดคราบสกปรกออกไป โดยใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นพอหมาดๆ แล้วเช็ดถูที่เป็นคราบสกปรก วิธีนี้จะง่ายสุดในการทำความสะอาดโซฟาหนัง
2. ทดสอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดดูก่อน
โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดตรงบริเวณเล็กๆ ที่มองเห็นยากๆ ก่อนเพื่อทดสอบดูว่าใช้ได้ไหม จะทำให้หนังด่างหรือไม่ ระวังอย่าถือแรงเกินไปเพราะจะเป็นการกดให้คราบฝังแน่นลงบนหนังมากกว่าเดิม
3. เริ่มทำความสะอาดจากบริเวณที่สกปรกน้อยที่สุดก่อน
เริ่มทำความสะอาดจากบริเวณที่สกปรกน้อยที่สุด จากนั้นค่อยขยับไปทำความสะอาดบริเวณที่สกปรกกว่า คราบสกปรกจะได้ไม่กระจายเปลี่ยนหรือทำความสะอาดผ้าบ่อยๆ จุ่มผ้าลงในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและใช้ส่วนที่ยังสะอาดของผ้าเช็ดโซฟาจนทั่วบริเวณที่ต้องทำความสะอาด
- รอยเปื้อนจางๆใช้ผ้าชุบน้ำสบู่บิดหมาดเช็ดตรงบริเวณที่มีรอยเปื้อนวิธีนี้เหมาะสำหรับรอยเปื้อนจางๆ ขนาดใหญ่ซึ่งหากใช้น้ำยาสำหรับทำความสะอาดเครื่องหนังโดยเฉพาะแล้วจะกินเวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูงใช้สบู่จากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่มีความอ่อนโยนและไม่ประกอบด้วยสารโซเดียมลอริลซัลเฟตหรือสารอื่นๆ ที่ออกฤทธิ์คล้ายคลึงกันเพราะสบู่ที่มีฤทธิ์รุนแรงอาจทำให้หนังของโซฟาแห้งได้วิธีการนี้ยังใช้ได้ผลกับการทำความสะอาดคราบเหนียวที่ละลายได้ด้วยน้ำอีกด้วย ถูเบาๆ และซักน้ำบ่อยๆ บิดน้ำออกเพื่อที่ผ้าจะได้ไม่เปียกชุ่มเกินไปเช็ดสลับกับผ้าสะอาดแห้งๆ เพื่อเช็ดฝุ่นที่ไม่ได้เกาะแน่น พื้นผิวของโซฟาหนังจะได้ยังแห้งอยู่
*** สบู่ที่ใช้ทำความสะอาดเครื่องหนังควรมีฤทธิ์อ่อนโยนหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องหนังจากวัตถุดิบธรรมชาติซึ่งประกอบด้วยขี้ผึ้งและไม่มีผลิตภัณฑ์หรือสารทำละลายปิโตรเลียมมากนัก
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ใช้ดีที่สุดคือแบบแว็กซ์ไม่ใช่แบบน้ำมันเพราะแว็กซ์ทำความสะอาดจะช่วยทำให้พื้นผิวหนังชุ่มชื้นและแต่ไม่ชุ่มน้ำและช่วยในการระบายอากาศของหนังด้วย
- รอยเปื้อนเครื่องดื่มควรใช้ ผ้าสะอาด หรือฟองน้ำ เช็ดให้แห้ง แล้ว ใช้ผ้าชุบน้ำพอหมาดๆ เช็ดซ้ำอีกครั้งหากโซฟา ตั้งอยู่ในห้องปรับอากาศ ไม่จำเป็นต้องเช็ดบำรุงบ่อยนัก เพราะอาจทำให้โซฟาเกินความเสียหายได้ ถ้าหากมีฝุ่นเกาะ หรือเหงื่อ ควรใช้ผ้าสะอาดมาเช็ดออกทันที เพราะ ฝุ่นและเหงื่อ เป็นศัตรูสำคัญที่ทำให้โซฟาหนังเกินความเสียหาย
- คราบเชื้อราถ้ามีคราบเชื้อราหรือเห็ดราขึ้น สเปรย์น้ำส้มสายชูผสมน้ำฤทธิ์เจือจางลงไปบางๆ พยายามใช้น้ำส้มสายชูให้น้อยที่สุดและรีบเช็ดเพื่อที่โซฟาจะได้ไม่เปียกชุ่มเกินไปน้ำส้มสายชูเป็นสารฆ่าเชื้อโรคฤทธิ์อ่อนโยนและสามารถกำจัดคราบเชื้อราได้
- เปื้อนคราบหนักจริงๆน้ำยาทำความสะอาดเครื่องหนังควรใช้กับบริเวณที่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทั่วไปที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับใช้ทำความสะอาดเครื่องหนังโดยเฉพาะอาจทำลายน้ำมันตามธรรมชาติที่เคลือบบนหนังได้ ยิ่งไปกว่านั้น หนังอาจจะแห้งและแตกได้เลยทีเดียว เราจึงควรใช้เมื่อต้องการกำจัดคราบที่เอาออกยากจริงๆเท่านั้นกำจัดรอยเปื้อน. ขั้นตอนนี้จะได้ผลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับประเภทและความหนักหนาของรอยเปื้อนนั้นๆ รอยเปื้อนที่ฝังแน่นหรือมีสีที่ล้างออกยากอาจจะไม่ยอมถูกขจัดไปโดยง่าย
ถ้ารอยเปื้อนไม่ยอมหลุดออกง่ายๆ อย่าถูซ้ำๆ เพราะคุณอาจจะทำลายหนังได้จำไว้ว่าบางครั้งการทิ้งคราบไว้อย่างนั้นอาจจะดีกว่าทำให้แย่กว่าเดิมก็ได้ คุณอาจจะลองพลิกด้านเบาะรองนั่งดูก็ได้นะ
ถ้าลองทุกวิธีแล้วแต่ยังไม่ได้ผล ลองปรึกษานักทำความสะอาดมืออาชีพดู พวกเขาอาจจะช่วยคุณกำจัดรอยเปื้อนหรืออย่างน้อยก็อาจจะช่วยให้ข้อมูลเชิงลึกถึงวิธีการกำจัดรอยเปื้อนแบบที่คุณกำลังประสบอยู่ได้
4. เช็ดคราบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ตกค้างบนโซฟา
ใช้ผ้าสะอาดบิดหมาดเช็ดบริเวณเบาะรองนั่งอีกครั้ง ซักผ้าในน้ำสะอาดหลังจากการเช็ดแต่ละครั้ง รอบนี้ไม่ต้องจุ่มผ้าลงในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแล้วเพราะตอนนี้เราต้องการล้างคราบของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ออกให้หมด
5. เช็ดโซฟาให้แห้ง
ใช้ผ้าแห้งเช็ดเบาะรองนั่งและเป่าลมที่บริเวณที่ทำความสะอาดเพื่อที่โซฟาหนังจะได้แห้งเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
6. เพิ่มความชุ่มชื้นให้หนัง
หลังจากเช็ดโซฟาหนังจนแห้งหมดแล้ว ทาผลิตภัณฑ์บำรุงหนังเคลือบบางๆ ให้ทั่วโซฟาและผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังที่ทำจากแว็กซ์จากธรรมชาตินั้นให้ผลดีที่สุด บำรุงโซฟาหนังให้ชุ่มชื้นเป็นประจำเพื่อที่หนังจะได้ยืดหยุ่นและได้รับการปกป้อง โดยคุณควรทำขั้นตอนนี้อย่างน้อยปีละครั้งนะ ใช้ผ้าสะอาดถูผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นจนทั่วโซฟาเพื่อที่หนังจะได้เงางาม
เคล็ดลับหากจะใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังหลังจากทำความสะอาดโซฟาแล้ว ดูให้ดีก่อนว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้มีฤทธิ์อ่อนโยนไหม อย่าใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นกับโซฟาหนังบ่อยเกินไป ทำทุกๆ หกถึงสิบสองเดือนก็พอแล้วล่ะ
คุณอาจจะต้องเจือจางผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบางอย่างด้วยน้ำก่อนที่จะนำมาใช้ อ่านวิธีใช้ข้างผลิตภัณฑ์ที่คุณซื้อมาให้ดีซะก่อน
ปัดฝุ่นโซฟาเป็นประจำเพื่อที่จะได้ทำความสะอาดง่ายขึ้น ใช้ผ้าแห้งเช็ดโซฟาหนังสัปดาห์ละครั้งเพื่อรักษาความสะอาด นอกจากนี้ คุณอาจจะใช้ผ้าคลุมโซฟาไว้ยามไม่ได้ใช้งานด้วยก็ได้
การเก็บโซฟาให้ห่างจากแสงแดดและความร้อนจะช่วยให้คุณรักษาลักษณะและสภาพของโซฟาไว้ได้
ทำความสะอาดคราบสกปรกหรือรอยเปื้อนให้เร็วที่สุดหลังจากทำเลอะ การกำจัดคราบเปื้อนที่ยังไม่แห้งและฝังแน่นง่ายกว่าเยอะเลยนะ
หากว่าขั้นตอนนี้ที่กล่าวมาข้างต้นดูมีหลายขั้นตอน แฟนๆ ELVIRA ที่มีเครื่องทำความสะอาดระบบไอน้ำ รุ่น C2 อยู่แล้ว ก็สามารถใช้เครื่อง C2 ทำความสะอาดโซฟาได้ โดยใช้ผ้าขนหนูที่แถมไป หุ้มหัวแปรงทำความสะอาดเบาะ แล้วใช้ไอน้ำพ่นทำความสะอาด จนคราบสกปรกนั้นหลุดติดมากับผ้าขนหนู แล้วเช็ดด้วยผ้าแห้ง ที่สะอาด จนไม่มีคราบไอน้ำ แล้วจึงลงแว็กซ์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงหนังเคลือบบางๆ ให้ทั่วโซฟา เพียง 3 ขั้นตอนเท่านี้ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ
คำเตือน อย่าใช้แอมโมเนีย สารฟอกสี หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดฤทธิ์รุนแรงกับเฟอร์นิเจอร์หนัง
อย่าลืมทดสอบผลิตภัณฑ์หรือวิธีทำความสะอาดที่บริเวณที่มองไม่ค่อยเห็นของโซฟาก่อนล่ะ
อย่าใช้น้ำในการทำความสะอาดมากเกินไป อย่าปล่อยน้ำค้างไว้บนหนัง
จุดที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ
การทำความสะอาดโซฟาหนังนั้น ยิ่งเราสัมผัสหนังน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีถ้ามีคราบสกปรกแค่ไม่กี่ที่ ทำความสะอาดเฉพาะบริเวณนั้นพอและแตะต้องบริเวณอื่นๆ ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้สำหรับบริเวณที่ยังพอสะอาดอยู่ แค่ใช้ผ้าสะอาดหมาดๆ (อย่าให้ถึงกับชุ่ม) เช็ดก็พอแล้วล่ะ
จำไว้ว่าหนังเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและหนังแต่ละชิ้นก็แตกต่างกันอย่างละนิดละหน่อย คุณอาจต้องลองทำความสะอาดหลายๆ วิธีก่อนจะเจอวิธีการที่เหมาะสมกับโซฟาของคุณมากที่สุด
ข้อมูลจาก : www.aseanliving.com, www.thaihometown.com, www.kapook.com, https://th.wikihow.com, https://excellamattress.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
รู้จัก 6 โรคร้ายในหน้าฝน
รู้จัก 6 โรคร้ายในหน้าฝน
เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว สภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เชื้อโรคหลายชนิดสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว นำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ตามมามากมาย เพราะฉะนั้น ถ้าใครไม่อยากให้ตัวเองต้องป่วยเป็นโรคที่ระบาดกันอยู่นี้ก็ควรดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ELVIRA จึงรวบรวมโรคที่มักระบาดในหน้าฝน มาเพื่อให้แฟนๆ ได้รู้เท่าทัน และจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง เมื่อเป็นโรคเหล่านี้กันค่ะ
- โรคไข้เลือดออก
พาหะนำโรคไข้เลือดออกก็คือ “ยุงลาย” ร้อยละ 80 เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้านซึ่งจะวางไข่ในน้ำที่ขังอยู่ตามที่ต่าง ๆ ผู้ป่วยระยะแรกจะมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป ได้แก่ อาการไข้ หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีอาการปวดกระดูกหากได้รับเชื้อประมาณ 5-8 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง (38.5-41 องศาเซลเซียส) ติดต่อกัน 2-7 วัน บางรายเบื่ออาหาร ปวดท้อง อาเจียน จากนั้นจะมีจุดแดงเล็กๆ ขึ้นตามลำตัว หลังจากนั้นไข้จะลง พร้อมกับอาจจะมีอาการเลือดออกผิดปกติ มือเท้าเย็น หรือช็อกได้ ในรายที่มีอาการรุนแรงจะเกิดภาวะช็อกหลังไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ตัวเย็น ปากเขียว บางรายมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ถ่ายเป็นเลือด หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ภายใน 12-24 ชั่วโมงข้อควรระวังคือ ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก ห้ามทานยาแอสไพรินเด็ดขาด เพราะจะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้นหากใครที่มีไข้สูงมาก ไข้ไม่ยอมลง เบื่ออาหารรู้สึกอ่อนเพลีย เซื่องซึมให้รีบไปพบแพทย์ - โรคไข้มาลาเรีย
เกิดจากเชื้อโปรโตซัวที่มากับ “ยุงก้นปล่อง” ซึ่งมักอาศัยอยู่ในป่าตามแนวชายแดน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง หนาวสั่นเป็นพักๆ ในเวลาเดิมๆ แต่หากไปพบแพทย์ทันก็สามารถรักษาหายได้ด้วยการทานยาไม่กี่วัน แต่หากไปพบแพทย์ช้า ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะมาลาเรียขึ้นสมอง ภาวะปอดบวมน้ำ ภาวะไตวาย ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้อย่างไรก็ตามโรคมาลาเรียยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ฉะนั้น วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ อย่าให้ตัวเองถูกยุงกัด เช่น อาจทายากันยุง หรือนอนในมุ้งชุบสารเคมีคำแนะนำสำหรับโรคที่มียุงเป็นพาหะ· พยายามอย่าให้ถูกยุงกัด โดยการทายากันยุง และควรกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงเป็นประจำ ทั้งในแจกันดอกไม้ พลูด่าง หรือตู้รองกับข้าว จานรองกระถางต้นไม้- หากมีอาการไข้ และเพิ่งกลับจากการพักค้างแรมในป่ามา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย เพื่อรับการตรวจเลือดหาเชื้อมาลาเรีย
- โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ,โรคหวัด
เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทั้งร้อนจัด ฝนตก ก็ทำให้คนป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจได้ง่าย โดยเฉพาะโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรียในอากาศ โรคจากไวรัส ทำให้เป็นหวัดคัดจมูก คอติดเชื้อ เจ็บคอเป็นหลัก จากนั้นจะมีไข้เจ็บตามตัว อาจมีน้ำมูกร่วม แถมยังติดต่อกันได้ง่ายเพียงแค่การไอ จาม หรือมือที่เปื้อนน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ฉะนั้นแล้ว เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายสู่ผู้อื่น ควรใช้ผ้าปิดปากและจมูกเมื่อเวลาไอ จาม หรือจะสวมหน้ากากอนามัยก็เป็นวิธีป้องกันที่ดี ที่สำคัญ อย่าลืมหมั่นล้างมือบ่อยๆ เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่เราอาจจะไปสัมผัสมา หรือป้องกันไม่ให้เราแพร่เชื้อโรคไปสู่คนอื่น หลีกเลี่ยงการคลุกคลี หรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
และนอกจากโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่แล้ว ยังมีโรคคออักเสบ หลอดลมอักเสบ และโรคปอดบวมที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน ซึ่งโรคปอดบวมนี้ถือเป็นโรคอันตรายถึงชีวิตหากเกิดขึ้นกับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี หรือผู้สูงอายุ เพราะฉะนั้น หากพ่อแม่สังเกตว่า ลูกหลานมีไข้ ไอ หายใจเร็วหรือหอบเหนื่อย ต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที - โรคเยื่อตาอักเสบ หรือ โรคตาแดง
เป็นอีกหนึ่งโรคที่พบบ่อย ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส และติดต่อกันง่ายเพียงการสัมผัส หรือใช้ของส่วนตัวร่วมกัน รวมทั้งการใช้น้ำที่ไม่สะอาดล้างหน้า อาบน้ำ น้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา ก็ทำให้เยื่อตาอักเสบ และตาแดงได้
คำแนะนำคือ- ระวังอย่าให้น้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา หากมีน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตาแล้ว ให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทุกครั้งทันที
- อย่าใช้มือ แขน หรือผ้าที่สกปรกขยี้ตา หรือเช็ดตา
- อย่าใช้สิ่งของร่วมกับผู้ที่เป็นโรคตาแดง หรือเยื่อตาอักเสบ
- โรคฉี่หนู
เป็นโรคแพร่ระบาดได้ในพื้นที่ที่มีน้ำขัง หลายคนเข้าใจผิดว่า โรคฉี่หนูมีพาหะคือ “หนู” เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว พาหะของโรคฉี่หนู มีได้ทั้งสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข สุกร โค กระบือ รวมทั้งสัตว์ป่า และสัตว์ที่มีฟันแทะทั้งหลาย โดยเชื้อเหล่านี้จะปะปนอยู่ในน้ำและสิ่งแวดล้อมในที่ที่มีน้ำท่วมขัง จะได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายผ่านเข้าไปทางผิวหนังที่เป็นแผล รอยขีดข่วน เยื่อบุจมูก เยื่อบุตา เยื่อบุในช่องปากได้ง่าย ๆ
อาการเด่นๆ ของโรคนี้คือ หลังได้รับเชื้อประมาณ 1-2 อาทิตย์ จะมีไข้สูงเฉียบพลัน ทำให้ปวดตามเนื้อตัว ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่อง และโคนขาอย่างรุนแรง เบื่ออาหาร และตาแดง คอแข็ง สลับกับไข้ลด หากเป็นมากอาจมีจุดเลือดออกที่เพดานปาก หรือตามผิวหนัง จนกระทั่งตับวาย ไตวายได้เลยทีเดียวคำแนะนำ- สำหรับคนที่มีไข้ แต่ไข้ไม่สูงมาก ควรเช็ดตัวเพื่อลดไข้เป็นระยะ และรับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล แต่ห้ามใช้แอสไพรินเด็ดขาด
- หากต้องเดินย่ำน้ำท่วม หรือน้ำสกปรก ต้องล้างเท้าให้สะอาดทุกครั้งหลังจากย่ำน้ำแล้ว และใช้ผ้าสะอาดเช็ดเท้าให้แห้ง อย่าปล่อยให้เท้าเปียก อับชื้น
- นอกจากนี้ หากจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ต้องสวมใส่รองเท้าบูทให้เรียบร้อย
- โรคติดต่อทางน้ำและอาหาร
ที่พบบ่อยคือ ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ อาหารที่เราทานอาจได้รับเชื้ออีโคไลจากน้ำฝนที่ปนเปื้อน ทำให้ลำไส้อักเสบติดเชื้อ จึงทำให้เกิดความผิดปกติในระบบย่อยอาหารตามมา โรคท้องเดิน โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ ตับอักเสบ เป็นต้น ซึ่งสาเหตุเกิดจากรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน รวมทั้งการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ หรือใช้น้ำที่ไม่สะอาด เช่น น้ำคลอง มาประกอบอาหาร และยังรวมถึงการรับประทานอาหารที่ปรุงไว้นานข้ามมื้อ หรือเกิน 6 ชั่วโมง เช่น อาหารกล่องที่ทำไว้สำหรับคนจำนวนมาก ที่อาจจะบูดเสียได้ง่ายคำแนะนำ- ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม ไม่ควรทานอาหารค้างคืน หรือปรุงเสร็จมานานหลายชั่วโมงแล้ว เพราะอาหารอาจบูดเน่า
- ดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำที่ต้มแล้ว หรือน้ำบรรจุขวดที่มี อย.รับรองคุณภาพ
- ควรเลือกซื้อน้ำแข็งที่ไม่มีตะกอน และไม่ควรรับประทานน้ำแข็งที่ใช้สำหรับแช่อาหารอื่น
- ก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง ควรล้างมือให้สะอาดเป็นนิสัย
การป้องกันโรคในฤดูฝนนั้น นอกจากคำแนะนำข้างต้นแล้ว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ มีภูมิต้านทานเชื้อโรคต่างๆ ที่จะเข้าสู่ร่างกาย และการสวมเสื้อผ้ารักษาร่างกายให้อบอุ่น ก็เป็นเรื่องสำคัญ ควรดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้ม รับประทานอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม และล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง นอกจากนี้ ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือตามประกาศของทางราชการด้วย
ข้อมูลจาก : www.sanook.com, health.kapook.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง ชนิด A (H3N2)
ในช่วงไม่นานมานี้ หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ ชนิด A (H3N2) ที่ระบาดในฮ่องกง ที่กำลังตกเป็นข่าว จนทำให้เกิดการเล่าลือกันไปว่าเจ้าเชื้อโรคสายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์ที่อันตราย สร้างความหวาดกลัวกันเป็นวงกว้าง หลายคนก็ยังคงอยากรู้ว่าจริงๆ แล้วไข้หวัด H3N2 นั้นมีที่มา อาการ การรักษาและการป้องกันอย่างไร แล้วอันตรายอย่างที่อยู่ในกระแสข่าวจริงไหม
วันนี้ ELVIRA จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้กัน เพื่อความเข้าใจและเพื่อการเตรียมพร้อมรับมือกันได้แบบไม่ต้องตื่นตระหนกค่ะ
ลักษณะการแพร่เชื้อ
ไข้หวัดใหญ่ H3N2 สามารถแพร่เชื้อจากหมูสู่คนได้จากการรับประทานเนื้อหมูที่มีเชื้อไวรัสนี้อยู่ หรือจะเป็นการสัมผัสโดยตรงกับสุกรที่ติดเชื้อ นอกจากนี้การแพร่เชื้อจากคนสู่คนยังมีการแพร่กระจายเช่นเดียวกับการแพร่เชื้อของไข้หวัดใหญ่ทั่วไป อาทิเช่นการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วยก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ หรือหากผู้ป่วยจามหรือไอใส่ก็ทำให้ติดเชื้อได้เช่นกัน โดยระยะในการฟักตัวของเชื้อไวรัสชนิดนี้อยู่ที่ประมาณ 1-3 วัน
กลุ่มเสี่ยง เนื่องจากเป็นไข้หวัดใหญ่ที่มีการระบาดจากคนสู่คน กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงควรไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
- หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
- เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี
- เด็กที่ได้รับการรักษาด้วยยาแอสไพรินมาเป็นเวลานาน
- ผู้มีโรคเรื้อรัง คือ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน
- บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
- ผู้มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กก.
- ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
- ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย และ
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ)
ซึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้อาจมีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตได้หากได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง กลุ่มเสี่ยงสามารถรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ฟรีที่สถานพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน หากมีอาการไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมีไข้สูง ต้องรีบพบแพทย์โดยเร็ว ประชาชนสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
ลักษณะอาการของผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ H3N2
อาการของไข้หวัดใหญ่ H3N2 มักเริ่มด้วยการเป็นไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก ในเด็กอาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง อาการจะทุเลาและหายป่วยภายใน 5 – 7 วัน แต่บางรายที่มีอาการปอดอักเสบรุนแรง จะมีอาการหายใจเร็ว เหนื่อย หอบ หายใจลำบาก อาจทำให้เสียชีวิตได้
วิธีการรักษา
วิธีการรักษาของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้ จะรักษาตามอาการ ถ้ามีไข้ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว หากไข้ไม่ลดให้รับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล นอนหลับพักผ่อน ให้ดื่มน้ำมากๆ และสวมหน้ากากป้องกันโรคเพื่อป้องกันการแพร่กระจายโรคไปสู่ผู้อื่นในกรณีที่ต้องไปยังที่สาธารณะ หากอาการไม่ดีขึ้นใน 48 ชั่วโมง หรือมีอาการรุนแรงให้พบแพทย์ทันที โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงก็ควรได้รับยาและการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อน
การรักษาสามารถรักษาเหมือนโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไป โดยให้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) และซานามิเวียร์ ภายใน 48 ชั่วโมงแรกหลังจากเริ่มมีอาการ และมีอาการรุนแรง หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงโรครุนแรง ทั้งนี้ผู้ป่วยยังต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์
วิธีการป้องกัน
การป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่ H3N2 คือการป้องกันตัวและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอและควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อหรือการสัมผัสกับน้ำลายหรือน้ำมูกของผู้ป่วย และควรจะให้ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ H3N2 สวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโรคแพร่กระจายจากการไอหรือจาม รวมทั้งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงก็ควรไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้อีกด้วยเพื่อเป็นการป้องกันอีกทางหนึ่ง
สำหรับการป้องกัน
ขอแนะนำให้ใช้มาตรการ “ปิด ล้าง เลี่ยง หยุด” ได้แก่
- ปิด คือปิดปาก ปิดจมูก เมื่อไอ จาม ต้องใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชูปิดปากและจมูกทุกครั้ง หากเจ็บป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ ควรใส่หน้ากากอนามัย
- ล้าง คือล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่เมื่อสัมผัสสิ่งของ เช่น กลอนประตู ลูกบิด ราวบันได ราวจับบนรถโดยสาร
- เลี่ยง คือหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย และ
- หยุด คือเมื่อป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน หยุดกิจกรรมในสถานที่แออัด แม้ผู้ป่วยจะมีอาการไม่มากก็ควรหยุดพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านจนกว่าจะหายเป็นปกติ
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ H3N2 ในตอนนี้สามารถรักษาจนหายเป็นปกติและกลับบ้านได้แล้วค่ะ แม้ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ที่มีความรุนแรงเทียบเท่ากับไข้หวัดใหญ่ทั่วไป แต่เราก็ประมาทไม่ได้นะคะ เพราะหากติดเชื้อแล้วก็อาจจะทำให้เราต้องเสียการเสียงาน ต้องหยุดพักรักษาตัวอีกด้วย ดังนั้นทางที่ดีก็ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรงกันดีกว่าเนอะ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยใจกับอาการป่วยและค่ารักษาทีหลัง
ข้อมูลจาก : www.kapook.com , www.pptvhd36.com , www.amarinbabyandkids.com , www.thaihealthycare.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
การทำความสะอาดโซฟาผ้า
การทำความสะอาดโซฟาผ้า
โซฟา เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่เกือบจะทุกบ้านและทุกคอนโดมีกันเลยก็ว่าได้ วันนี้ ELVIRA เลือกนำวิธีการทำความสะอาดโซฟาผ้ามาให้แฟนๆ ได้ลองไปใช้ทำความสะอาดดู และคราวถัดไปจะนำเสนอวิธีการทำความสะอาดโซฟาหนังมาแบ่งปันกัน ส่วนใครมีวิธีการทำความสะอาดที่ต่างจากนี้แล้วได้ผลดี ก็แบ่งปันกันได้ที่หน้าเพจของ ELVIRA ได้นะค่ะที่ www.facebook.com/elvirathai/
มาเริ่มกันเลยค่ะ
- โซฟาผ้า ปัจจุบัน โซฟาผ้า มีหลายหลายดีไซน์และคนสมัยนี้ก็นิยมใช้มากขึ้น เนื่องจากมีลวดลายสวยงาม แบบให้เลือกเยอะ แถมราคาก็ไม่แพง แต่ก็มีทั้งแบบถอดซักได้ และถอดซักไม่ได้ ดังนั้นจึงมีวิธีทำความสะอาดที่ต่างๆ กันไปค่ะ ลักษณะทั่วไปของโซฟาผ้าคือ เมื่อเราใช้ไปนานๆ โซฟาก็อาจมีกลิ่นอับ ฝุ่นไร และเชื้อโรคแบคทีเรียต่างๆ มากมาย ยิ่งบ้านไหนมีเด็กตัวเล็กๆ แล้วด้วย ก็คงจะเป็นห่วงกันไม่น้อย เพราะผ้าจะอมฝุ่น ใช้ไปนานๆ จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค การทำความสะอาดยาก ต้องใช้เครื่องดูดฝุ่นหรือต้องถอดซัก ยิ่งถ้าโดนของเหลวพวกน้ำหวาน หกใส่นี่เดือดร้อนเลย เพราะเช็ดไม่ได้
- สำหรับโซฟาชนิดผ้าที่ถอดซักทำความสะอาดได้ ให้ถอดปลอกหมอนและปลอกโซฟาไปซักทำความสะอาดก่อน โดยหลีกเลี่ยงการซักด้วยเครื่องเพราะอาจจะทำให้เนื้อผ้าเสียรูปทรงหรือเป็นขุยได้ เพราะฉะนั้นซักด้วยมือจะปลอดภัยที่สุด
- สำหรับโซฟาผ้าที่ถอดผ้าหุ้มไม่ได้ ให้ใช้เครื่องดูดฝุ่น ทำความสะอาดฝุ่นและเศษขนมต่างๆ ที่ตกค้างอยู่บนโซฟา โดยเฉพาะบริเวณที่พักแขนและพนักพิงซึ่งเป็นบริเวณที่มักจะมีฝุ่นเยอะกว่าบริเวณอื่นๆ หลังจากนั้น สามารถทำความสะอาดได้ โดยผสมน้ำเย็นและน้ำอุ่นอย่างละครึ่ง กับน้ำยาทำความสะอาดโซฟาโดยเฉพาะ หรืออาจจะใช้น้ำยาทำความสะอาดเบาะรถยนต์ก็ได้เช่นกัน ปริมาณที่ใช้ก็ตามฉลากที่บอกไว้ ค่อย ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำยาพอหมาด อย่าให้ชุ่มมาก (แนะนำให้ใช้ผ้าสีขาว เพื่อจะเห็นคราบสกปรกได้ชัด) แล้วเช็ดทำความสะอาดโซฟาให้ทั่ว โดยกดเน้นในจุดที่มีคราบสกปรกติดอยู่เป็นพิเศษ เพื่อกำจัดคราบให้จางลง หากผ้าเริ่มดำก็เปลี่ยนผ้าผืนใหม่ทันที คราบสกปรกจากผ้าจะได้ไม่ตกค้างบนโซฟาอีก จากนั้นให้ใช้ผ้าแห้งซับความชื้นในโซฟาอีกครั้ง จนแน่ใจว่าโซฟาเริ่มแห้ง และถ้าเป็นไปได้ก็ควรนำโซฟาไปตากแดดจัด ๆ เพื่อกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์และฆ่าเชื้อโรคไปด้วยในตัว หรือถ้ารีบจะใช้ไดร์เป่าผมมาเป่าอีกแรงก็ได้จ้า
- การใช้น้ำยาในการทำความสะอาด โดยใช้น้ำยา ทำความสะอาดเบาะรถยนต์ ซึ่งจะมีหลากหลายยี่ห้อ จะมีทั้งแบบโฟมและเป็นน้ำ อาจต้องเลือกดูที่คุณภาพ เพราะจะทำให้โซฟาสีไม่ซีดจาง และทำให้ดูใหม่อยู่เสมอ โดยใช้ผ้าเล็กๆ หลายๆ ผืน (ถ้าเป็นผ้าสีขาวจะดีมาก) จากนั้นฉีดน้ำยาลงบนโซฟาพอประมาณ ทิ้งไว้สักพักแล้วจึงใช้ผ้าเช็ด ออกแรงกดเล็กน้อย แล้วคราบก็จะจางหายไปเองซึ่งน้ำยาพวกนี้จะมีน้ำหอมดับกลิ่นผสมอยู่ ซึ่งจะช่วยดับกลิ่นได้พอสมควร และควรที่จะเอาโซฟาไปผึ่งแดดอ่อน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและกลิ่นให้อยู่หมัด
- บริเวณที่ไม่มีผ้าคลุม เช่น บริเวณขาโต๊ะ หรือบริเวณโครงโซฟา ก็ทำความความสะอาดง่ายๆ ด้วยผ้าชุบน้ำ บิดพอหมาด แล้วนำมาเช็ดทำความสะอาดให้ทั่ว หรือจะฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อผสมไปด้วยเพื่อฆ่าเชื้อโรคก็ไม่ว่ากันจ้า
- หากว่าขั้นตอนนี้ที่กล่าวมาข้างต้นดูมีหลายขั้นตอน แฟนๆ ELVIRA ที่มีเครื่องทำความสะอาดระบบไอน้ำ รุ่น C2 อยู่แล้ว ก็สามารถใช้เครื่อง C2 ทำความสะอาดโซฟาได้ โดยใช้ผ้าขนหนูที่แถมไป หุ้มหัวแปรงทำความสะอาดเบาะ แล้วใช้ไอน้ำพ่นทำความสะอาด จนคราบสกปรกนั้นหลุดติดมากับผ้าขนหนู แล้วเช็ดด้วยผ้าแห้ง ที่สะอาด จนไม่มีคราบไอน้ำ แล้วจึงลงแว็กซ์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงหนังเคลือบบางๆ ให้ทั่วโซฟา อย่าลืมเปิดหน้าต่างในห้อง เพื่อให้ระบายความชื้นจากไอน้ำด้วยนะคะ เพียง 3 ขั้นตอนเท่านี้ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ
- หมอนอิงก็ควรจะทำความสะอาดด้วยเช่นกัน โดยเริ่มจากการถอดปลอกหมอนออกไปซักก่อน เสร็จแล้วให้นำหมอนมาแช่ลงในน้ำอุ่นที่ผสมน้ำยาทำความสะอาดจนหมอนชุ่มน้ำยา ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นเทน้ำยาออก แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด พร้อมๆ กับใช้มือกดหมอนเพื่อบีบน้ำยาออกจากหมอนให้หมด หากน้ำในถังเต็มไปด้วยฟองจากน้ำยา ก็ให้เปลี่ยนน้ำใหม่ ทำซ้ำอย่างนี้จนแน่ใจว่าไม่มีน้ำยาตกค้างในหมอนอีกแล้ว จากนั้นนำไปตากในที่ที่ลมโกรกดี และแสงแดดส่องถึง โดยหลีกเลี่ยงการตากในมุมอับชื้น เพื่อป้องกันเชื้อราไม่ให้มาเจริญเติบโตในหมอนได้ค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นโซฟาแบบไหน ELVIRA ก็จัดหาวิธีการทำความสะอาดมามอบให้แฟนๆ ได้ จากนี้ไปโซฟาตัวโปรด จะกลายเป็นโซฟาตัวใหม่ตลอดไป แม้ว่า จะผ่านไปนานกี่ปีแล้วก็ตาม
ข้อมูลจาก : aseanliving.com, thaihometown.com, kapook.com, th.wikihow.com, excellamattress.com, www.sofabeddecor.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai