Cooking, TIPS & TRICK
เรื่องเล่าของขนม: สังขยาฟักทอง

เรื่องเล่าของขนม
ฮาโหล..ฤดูฝน..
สวัสดีแฟนคลับชาวเอลวิร่าทุกท่านค่ะ
ขอตอนรับทุกท่านเข้าสู่ฤดูฝนจ้า หน้าฝนแบบนี้อย่าลืมดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ และแน่นอนว่าในช่วงฤดูฝนแบบนี้เราต้องนึกถึงของที่ทานแล้วมีประโยชน์เพื่อสุขภาพที่ดีของเรา วันนี้เรื่องเล่าของขนมจะขอพาทุกท่านมารู้จักกับขนมไทยที่ให้มากกว่าความอร่อยค่ะ..นั้นคือ “สังขยาฟักทอง” พร้อมแล้วตามมาเลย
สังขยา หรือ ที่เรียกในภาษามาเลย์ว่า ศรีกายา หรือกายา เป็นขนมนึ่งทำจากกะทิและน้ำตาล พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น กายา หรือ เซอรีกายา (มาจากคำว่าร่ำรวยในภาษามลายู) เป็นขนมที่ทำจาก กะทิ
ไข่เป็ดหรือไขไก่
ซึ่งขยำให้เข้ากันด้วยใบเตย ปรุงรสหวานด้วยน้ำตาล มีจุดกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะใช้เครื่องปรุงที่มีในท้องถิ่นคือน้ำตาลมะพร้าวและใบเตย ปรุงให้สุกด้วยการนึ่ง สุกแล้วแข็ง นิยมใช้แต่งหน้าข้าวเหนียวแบบข้าวเหนียวสังขยาของไทย ในมาเลเซียใส่สีกายาเป็นสีเขียวเรียก ปูลุตเซอรีกายา หรือ เซอรีมูกา ในอินโดนีเซียทำกายาหน้าสีน้ำตาลอย่างสีไข่ เรียก เกอตันเซอรีกายา หรือ นึ่งในผลฟักทอง เรียก เซอรีกายาลาบูกูนิง
สังขยาในไทย เป็นขนมที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจากโปรตุเกส นิยมรับประทานกับข้าวเหนียวหรือใส่ในฟักทอง เผือกหรือ
มะพร้าว แล้วนำไปนึ่ง ซึ่งเป็นคนละชนิดกับสังขยาที่ทากินกับขนมปังจ้า ฟักทองสังขยา ถือเป็นของหวานสมัยโบราณ ที่นอกจากจะให้รสชาติที่หวานมันแล้วเรายังได้คุณค่าทางอาหาร
มากมายจากฟักทองอีกด้วยค่ะ ที่สำคัญคือ เมนูนี้เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ทำไม่ยาก แต่ต้องใช้ความอดทนค่อนข้างสูงทีเดียว เพราะหากใจร้อนฟักทองอาจจะแตก ได้ แถมตัวของฟักทองก็ยังมีสีเหลือง
ที่เป็นเอกลักษณ์ และ
มีวิตามินเอสูง
รวมทั้งฟอสฟอรัส
แคลเซียม
วิตามินซี ที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็ คือ
เบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
ที่อยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทองนั้นเองจ้า สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง
โรคหลอดเลือดหัวใจ และ
โรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนังได้อีกด้วยค่ะ
Cooking, TIPS & TRICK
เรื่องเล่าของขนม: ข้าวมันไก่

..ฮาโหลค่ะ..ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่หน้าฝนอย่างเป็นทางการจ้า..อย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ
สวัสดีแฟนคลับชาวเอลวิร่าทุกท่านค่ะ วันนี้เรื่องเล่าของขนมจะขอว่าด้วยเรื่องอาหารจานโปรด
ของใครหลายๆท่านอย่างเช่น เมนูข้าวมันไก่
นั้นเองจ้า พร้อมแล้วเรามาทำความรู้จักข้าวมันไก่กันเลยค่ะ
ข้าวมันไก่..(จีนตัวเต็ม: 海南雞飯; จีนตัวย่อ: 海南鸡饭; ข้าวไก่ไหหลำ หรือ ข้าวไก่ไห่หนาน) เป็นอาหารคาวของไทยและจีน คาดว่าอาหารชนิดนี้ได้รับการเผยแพร่มาจากชาวจีนหลี (หรือไหหลำ หรือไห่หนาน) มีให้รับประทานกันทั่วทุกภาคในประเทศไทย และนิยมกันมากในหมู่ชาวไทยเชื้อสายจีน นอกจากนี้ยังนิยมรับประทานกันมากในมาเลเซียและสิงคโปร์ อีกด้วย ร้านข้าวมันไก่ มักจะพบได้ทั่วไปตามแหล่งชุมชน โดยจะมีตู้ใสแขวนไก่ต้มทั้งตัวอยู่หน้าร้านเป็นจุดสังเกต บางร้านนำข้าวมันไก่มาประยุกต์โดยใช้ ไก่ย่าง หรือ ไก่ทอด เพื่อเพิ่มความหลากหลาย ด้วยเสน่ห์ของตัวข้าวที่มีรสชาติความหอม
มัน
เนื้อข้าวที่นุ่มกำลังพอดี เมื่อทานคู่กับตัวไก่ และน้ำจิ้มรสเด็ดยิ่งเพิ่มความอร่อยจนกลายเป็นเมนูจานโปรด
ของใครหลายคนอย่างแน่นอนค่ะ
Cleaning, TIPS & TRICK
การดูแลบ้านในหน้าฝน

การดูแลบ้านในหน้าฝน
“บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอน ถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืด แล้วก็สว่าง อาจจะมีฝนก่อเป็นพายุ หรือลมลอยปลิวอยู่แค่นั้น สุขที่เคยเดินทางตามหามานานไม่ได้ไกลที่ไหน อยู่แค่นี้เอง” เข้าเนื้อเพลงกันขนาดนี้ ก็ พูดถึงสิ่งที่อยากให้แฟนเพจ ELVIRA ได้อ่าน กันเลยละกันเนาะ ในหน้าฝนที่สภาพอากาศ แปรปรวน สิ่งหนึ่งที่ต้องเจอเป็นประจำสำหรับบ้านแสนรักของเราก็คือน้ำขัง น้ำรั่วซึมเพื่อป้องกันปัญหาของบ้านที่อาจจะเกิดขึ้น แบบนี้เรามาเรียนรู้ เทคนิคดูแลบ้านแบบง่ายๆ ที่คุณก็ทำเองได้กันค่ะ เริ่มจาก
ตรวจสอบรอยรั่วให้ทั่วบริเวณบ้าน และความสมบูรณ์ของหลังคา ฝ้า ผนัง
ซึ่งเป็น 3 จุดสำคัญที่มักจะเป็นปัญหาอยู่ทุกๆ ปี นั่นคือ รอยแตกร้าว รูรั่วตามรอยต่อวัสดุ โดยให้หมั่นสังเกตบริเวณผนังบ้าน รอยต่อ พื้นบ้าน หลังคา ฝ้าเพดาน และบริเวณซอกมุมต่างๆ ไม่ว่าจะมุมประตูหรือมุมของหน้าต่าง เมื่อพบรอยรั่วก็ให้ซ่อมแซมให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ความชื้นและหยดน้ำเข้ามาในตัวบ้านได้ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้จนสร้างความเสียแก่ทรัพย์สินภายในบ้าน เพื่อป้องกันปัญหารุกรามจากเพียงรอยแตกร้าวเล็กๆ ที่ถูกละเลย
ตรวจสอบซิลิโคนตามรอยต่อขอบประตู หน้าต่าง
เมื่อเวลาผ่านไป ซิลิโคนที่เชื่อมรอยต่อระหว่างผนังปูน และประตูหน้าต่างอาจหมดอายุเสื่อมสภาพ แห้งกรอบ เกิดรอยให้น้ำซึมเข้า หรือการเชื่อมต่อของซิลิโคนไม่ต่อเนื่อง หมั่นตรวจสอบบริเวณนี้ และให้ช่างใส่ซิลิโคนใหม่ เพื่อป้องกันการไหลซึมของน้ำเมื่อเวลาฝนตกหนัก
ทำความสะอาดรางน้ำ – ท่อระบายน้ำ
อย่าปล่อยให้มีเศษใบไม้ กิ่งไม้ เศษขยะเอาไปอุดตันปิดกั้นทางไหลของน้ำฝน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้จนเกิดการอุดตันจะทำให้น้ำในทางระบายเอ่อล้น เปียกชื้นโครงสร้างส่วนนอก หรือไหลย้อนเข้าไปรั่วซึมใต้ฝ้า และเข้าภายในบ้านของเราได้
ขัดล้างพื้นหลังฝนตก
หลังฝนตกไม่นานเรามักจะพบคราบน้ำเจิ่งนอง คราบตะไคร่สีเขียวเกาะติดอยู่บนพื้นภายนอก เป็นคราบสกปรกที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มได้ง่าย จึงควรหมั่นขัดล้างทำความสะอาดหลังฝนตก ไม่ปล่อยทิ้งไว้เป็นคราบสะสมจนขจัดออกยาก
ตัดแต่งกิ่งไม้ใหญ่รอบๆ บ้านให้สั้นลง
เมื่อเกิดพายุฝนตกหนัก กระแสลมกรรโชกแรงอาจจจะทำให้กิ่งไม้ใหญ่หักโค่น หล่นลงมาทับตัวบ้านสร้างความเสียหาย โดยเฉพาะกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ติดหลังคาบ้าน ที่ต้องระวังกิ่งหักลงมาทับกระเบื้องหลังคาเสียหายและสัตว์เลื้อยคลานใช้กิ่งไม้เป็นทางผ่านเลื้อยเข้าไปในบ้าน
ทำไม้ค้ำยันให้ต้นไม้ บ้านที่เพิ่งปลูกต้นไม้ใหญ่ หรือต้นไม้นั้นซื้อมาตอนที่ต้นสูงใหญ่แล้ว ควรทำไม้ค้ำยันยึดต้นไม้ไว้ เพื่อให้ลำต้นตั้งตรง ไม่เอนเอียงหรือโค่นล้มเมื่อมีลมพัดมาแรงๆ และช่วยทำให้รากต้นไม้สามารถแผ่ขยายได้อย่างรวดเร็วด้วย
เคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์สนามเข้าที่ร่ม
วัสดุที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์คงไม่สามารถต้านทานลมฝนที่โหมกระหน่ำในฤดูนี้ได้ ควรโยกย้ายเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่กลางแจ้งเข้าสู่พื้นที่ร่มใต้ชายคาชั่วคราว หรือหาผ้าใบพลาสติกมาคลุมไว้ก่อน เพื่อยืดอายุการใช้งาน ป้องกันการสึกกร่อนเสื่อมโทรมก่อนเวลาอันควร
ชายคาและกันสาดช่วยบ้านคุณได้
น้ำฝนมักจะไหลย้อนเข้ามาทางรอยต่อประตู หน้าต่างบริเวณผนัง ทำให้เกิดรอยคราบหยดน้ำ เชื้อรา ตะไคร่ จึงควรติดตั้งชายคาหรือกันสาดเพื่อป้องกันฝนสาดเข้าตัวบ้าน และยังช่วยยืดอายุการใช้งานวัสดุหน้าต่าง-บานประตูไม่ให้ผุพังเร็วอีกด้วย นอกจากจะกันฝนได้แล้ว ยังช่วยป้องกันแสงแดดไม่ให้กระทบตัวบ้านได้ด้วย
การคว่ำภาชนะที่ขังน้ำฝน สิ่งสุดท้ายที่เราควรที่จะตรวจสอบรอบๆ บ้านนั้นคือภาชนะที่เราไม่ได้ใช้แต่มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดน้ำขังได้ เช่น กระถางต้นไม้ที่ไม่ใช้งาน ถาดรองกระถางต้นไม้ ถังน้ำที่มีฝนตกลงมาขัง แหล่งน้ำเหล่านี้จะเป็นแหล่งการเพาะพันธุ์ของยุงลายได้ ดังนั้นในช่วงฤดูฝนเราควรที่จะคว่ำภาชนะเหล่านั้นให้หมดหรือเปลี่ยนน้ำบ่อยๆ เพื่อป้องกันการเพาะพันธุ์ของยุงลายที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคไข้เลือดออกได้
แม้จะเป็นการดูแลเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ช่วยให้บ้านของคุณไม่ต้องเปียกชื้น ผุพังเสียหาย ที่ทำให้คุณต้องมาเสียเวลาในการซ่อมแซม เสียเงินทองมากมาย นำไปใช้กันดูนะค่ะ ฝนตกจะได้สบายใจนั่งฟังเสียงลมฝนไปเพลินๆ ได้อย่างมีความสุข
ข้อมูล จาก
Website:Dsignsomething ,
Website:ศาลาปัญญา ,
Website:dotproperty moving asia online
Website:tmtland
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cooking, TIPS & TRICK
เรื่องเล่าของขนม: ถั่วเหลือง

เตรียมพร้อม…รับเทศกาลกินเจกันหรือยังคะ วันนี้มีเรื่องดีๆเกี่ยวกับการกินเจมาฝาก การกินเจคือการไม่ทานเนื้อสัตว์ นอกจากจะทำให้สุขภาพดีแล้ว ยังได้จิตเมตตา ละเว้นกรรมอีกด้วยค่ะ
แต่เรา…ไม่ต้องห่วงเลยนะคะว่าร่างกายจะขาดสารอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์
เพราะเรามีโปรตีนจากพืชบางชนิดมาทดแทนได้ และพืชบางชนิดสามารถให้พลังงานเทียบเท่า
เนื้อสัตว์ เช่น
บร็อคโคลี่
พืชตระกูลถั่ว
ทั้งหลาย เช่น ถั่วแระ ถั่วแดง ถั่วเหลือง งา เมล็ดทานตะวัน โดยเฉพาะ “ถั่วเหลือง” ทราบกันไหมคะว่าถั่วเหลืองนอกจากจะให้โปรตีนแทน
เนื้อสัตว์แล้ว ยังอุดมไปด้วยสารอาหาร
ที่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น
คาร์โบไฮเดรต
ไขมัน
วิตามินบี เอ ดี ซี
และแร่ธาตุ ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โซเดียม
ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูก
บำรุงดวงตา
ทำให้ฮอร์โมนสมดุล
ช่วยในการขับถ่าย
บรรเทาความดันโลหิตสูง
โรคอ้วนและ
ชะลอความแก่ได้อีกด้วย
และถั่วก็สามารถนำมาประกอบอาหารได้มากมายค่ะ ไม่ว่าจะเป็นน้ำถั่วเหลือง
ฟองเต้าหู้ เต้าหู้หลากหลายชนิด เค้กถั่วเหลือง
และแปรรูปเป็นน้ำมันถั่วเหลืองได้อีกด้วยค่ะ
Cooking, TIPS & TRICK
11 ความมหัศจรรย์!! ของการดื่มน้ำเปล่า

ใครๆ ก็รู้ว่า น้ำเปล่าดื่มแล้วดีต่อสุขภาพ ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย ยังช่วยในเรื่องการขับถ่าย และบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น ไม่แห้ง ดูมีน้ำมีนวล ราคาไม่แพง นอกเหนือจากนั้นละ…มีใครรู้ถึงประโยชน์ของการดื่มน้ำเปล่าอีกบ้าง วันนี้ ELVIRA จะพาแฟนๆ มารู้จัก 11 ความมหัศจรรย์ของน้ำเปล่ากันค่ะเรียกได้ว่าคัดเอาแต่ที่เด็ดๆ ทั้งหมด มาดูกันว่ามันน่าว๊าวววว ขนาดไหน รับรองว่าเมื่ออ่านจบแล้ว แฟนๆ ต้องหันมาดื่มน้ำเปล่าแทนการดื่มน้ำอัดลมแน่นอนค่ะ
1. ดื่มน้ำช่วยลดอาการอ่อนเพลีย
สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ร่างกายเกิดการอ่อนเพลียก็คือภาวะขาดน้ำ ดังนั้นการดื่มน้ำจะทำให้ร่างกายภายในชุ่มชื้นขึ้น และลดภาวะขาดน้ำได้ ช่วยให้รู้สึกสดชื่นมีแรงขึ้นกว่าเดิม ใครที่กำลังรู้สึกอ่อนเพลียลองจิบน้ำดูนะคะ รับรองว่าช่วยได้แน่นอน
2. ช่วยให้ลดน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้น
สาวๆ ได้ยินคงหันมาดื่มน้ำเปล่ากันมากขึ้นละงานนี้ เพราะการดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้องและรับประทานอาหารได้น้อยลง รวมทั้งถ้าหากดื่มน้ำขณะที่กำลังหิวๆ ละก็ จะช่วยลดความอยากอาหาร หรือพฤติกรรมการทานจุกจิกได้เป็นอย่างดี นั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้น้ำหนักของเราลดลงด้วย การดื่มน้ำก็ยังช่วยเพิ่มการทำงานของระบบการเผาผลาญอีกด้วยโดยเฉพาะน้ำเย็น สามารถช่วยให้ร่างกายเผาผลาญได้มากขึ้นเยอะเลยล่ะ
การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วจะช่วยให้ปริมาณไขมันในร่างกายของเราให้ลดลงได้ หากเราดื่มเพียงน้ำเปล่าภายในระยะเวลาแค่ 9 วัน สามารถทำให้น้ำหนักของคุณลดลงราวกับว่าคุณไปออกกำลังกายวิ่งจ๊อกกิ้งมา 8 กิโลเมตรใน 1 วันได้อย่างไม่หน้าเชื่อ
3. ขจัดสารพิษในร่างกาย
ช่วยรักษาสุขภาพไตให้แข็งแรง ใครก็รู้ว่าไตเป็นอวัยวะที่สำคัญในการขับสารพิษออกจากร่างกาย เมื่อไตกรองสารพิษในของเหลวที่อยู่ในร่างกายแล้วก็จะถูกขับออกมาในรูปแบบต่างๆ อาทิเช่น เหงื่อ และปัสสาวะ การดื่มน้ำจะช่วยให้ร่างกายขับสารพิษออกมาได้ดีขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดการติดเชื้อในท่อปัสสาวะและนิ่วในไตได้
4. ช่วยรักษาโรคหลายๆ ชนิดได้
*ช่วยลดอาการปวดต่างๆ เช่น การปวดหลังหรือบั้นเอว ปวดตามข้อ
* รักษาอาการปวดหัวได้
อาการไมเกรนและปวดหลัง แท้จริงแล้วอาจมีสาเหตุมาจากภาวะขาดน้ำในร่างกายได้ ดังนั้นการดื่มน้ำอย่างเพียงพอนี่ล่ะจะสามารถช่วยลดอาการเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ไม่เชื่อก็ลองดื่มน้ำเยอะๆ เวลาปวดหัวดูสิ จะรู้สึกเลยว่าอาการปวดหัวเบาลงเลยล่ะ
* ป้องกันโรคมะเร็ง
มีการศึกษาหนึ่งพบว่าการดื่มน้ำมากๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เพราะการดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น ซึ่งการปัสสาวะบ่อยๆ จะช่วยลดการก่อตัวของสารก่อมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะได้ นอกจากนี้การดื่มน้ำอย่างเพียงพอไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำก็ยังช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเต้านมได้อีกด้วยค่ะ
* ป้องกันตะคริว และอาการเคล็ด
ภาวะขาดน้ำส่งผลให้ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและสารหล่อลื่นระหว่างข้อต่อต่าง ๆ ลดน้อยลง จนอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย ดังนั้นการดื่มน้ำจึงจำเป็นต่อกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ ถ้าไม่อยากเป็นตะคริว หรือเคล็ดขัดยอกตามข้อต่อต่างๆ ควรหมั่นดื่มน้ำให้เพียงพออยู่เสมอค่ะ
5.ช่วยให้อารมณ์ดี
หลายคนอาจจะแปลกใจว่าการดื่มน้ำช่วยทำให้อารมณ์ได้ด้วยอย่างนั้นหรือ ขอบอกเลยค่ะว่าช่วยได้ เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย ก็จะช่วยให้ระบบการทำงานต่างๆ ภายในทำงานได้เป็นปกติ ลืมไปได้เลยกับอาการผิดปกติต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อจิตใจ
6. ช่วยลดการเกิดกลิ่นปาก และลดอาการเครียด
ช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย สบายใจ สำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทำงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น อย่าเครียดจนลืมดื่มน้ำ
7. ดีต่อสุขภาพหัวใจ
ช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างเป็นปกติและมีประสิทธิภาพ มีการศึกษาหนึ่งพบว่าปริมาณน้ำที่ดื่มนั้นมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าหากเราดื่มน้ำเพียงแค่ 5 แก้วใน 1 วัน สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการหัวใจวายได้ถึง 41% การดื่มน้ำมากขึ้นทำให้ความเสี่ยงโรคหัวใจลดลง แต่การดื่มเครื่องดื่มที่มีพลังงานสูง อย่างเช่น โซดาหรือน้ำผลไม้ จะทำให้ความเสี่ยงในการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจสูงขึ้นอีกด้วยค่ะ
8. ช่วยต่อสู้กับอาการป่วย
น้ำสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับผิวหนังของคุณได้ แถมยังป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ที่จะเข้าสู่ร่างกายได้อีกด้วย การดื่มน้ำสามารถช่วยลดอาการคัดจมูกและภาวะขาดน้ำในระหว่างที่ป่วยเป็นไข้หวัดได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการศึกษาใดยืนยันอย่างชัดเจนว่าการดื่มน้ำสามารถรักษาไข้หวัดได้ แต่เราก็ควรที่จะดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมค่ะ

9. สร้างเสริมสมองให้ทำงานดีและไวขึ้น
สมองของเราประกอบไปด้วยน้ำ ประมาณ 75-85% หากเราดื่มน้ำมากๆ ก็จะช่วยให้สมองเราทำงานได้ดีขึ้น แถมยังมีสมาธิมากขึ้นอีกด้วยการศึกษาในเมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ พบว่านักศึกษาที่นำน้ำเข้าไปดื่มด้วยในห้องสอบ จะทำข้อสอบได้คะแนนดีกว่า นั่นก็เป็นเพราะว่า น้ำจะช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง ส่งผลต่อการทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะในเรื่องของความจำ หรือการคิดประมวลผลต่างๆ ช่วยทำให้เกิดสมาธิมากขึ้น ผู้ที่อยู่ในวัยเรียนควรให้ความสำคัญของการดื่มน้ำให้มากๆ
10. ช่วยปรับสมดุลในด้านต่างๆ ของร่างกาย
ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยในการย่อยอาหาร โดยน้ำจะไปช่วยระบบย่อยอาหารให้ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงยังช่วยป้องกันโรคกรดไหลย้อนได้อีกด้วย ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายของเราได้ ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่ ในขณะที่เราออกกำลังกายทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น และการดื่มน้ำในขณะที่ออกกำลังกายจะช่วยให้อุณหภูมิในร่างกายลดลงได้ และช่วยทดแทนของเหลวในร่างกายที่เสียไปจากการขับเหงื่อ แต่ก็ควรจะดื่มน้ำอย่างเหมาะสม โดยค่อยๆ จิบน้ำหลังจากออกกำลังกาย ไม่ควรดื่มรวดเดียวเพราะอาจจะทำให้เกิดอาการจุกและเป็นอันตรายได้
เห็นความมหัศจรรย์ของการดื่มน้ำเปล่าแบบนี้แล้ว คงต้องลองหันมาดื่มน้ำบ่อยๆ เสียแล้วล่ะ หากอยากมีสุขภาพที่ดี ก็สามารถเริ่มต้นง่ายๆ ได้ที่ตัวเรานะคะ
11. ลดอาการแฮงค์
การดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ และทำให้เกิดอาการแฮงค์ การดื่มน้ำหนึ่งแก้วหลังจากที่คุณจิบแอลกอฮอล์ จะช่วยลดภาวะขาดน้ำได้อีกทางหนึ่ง แถมยังช่วยให้อาการแฮงค์หลังจากดื่มแอลกอฮอล์ลดลงอีกด้วย
เห็นความมหัศจรรย์ของการดื่มน้ำเปล่าแบบนี้แล้ว คงต้องลองหันมาดื่มน้ำบ่อยๆ เสียแล้วล่ะ หากอยากมีสุขภาพที่ดี ก็สามารถเริ่มต้นง่ายๆ ได้ที่ตัวเรานะคะ
ข้อมูลจาก
https://medthai.com
health.kapook.com
health.mthai.com
Cooking, TIPS & TRICK
อาหารที่ต้องห้ามในช่วงกินเจ

อาหารที่ต้องห้ามในช่วงกินเจ
เทศกาลกินเจแอดมินเห็นหลายคนใช้โอกาสนี้ในการปฏิบัติธรรมถือศีลกินเจลดละการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตโดยงด การกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด
วันนี้ ELVIRA จะมาแบ่งปันอาหารที่ห้ามกินในช่วงเทศกาลกินเจสำหรับคนที่กินเจซึ่งคนกินเจควรต้องใสใ่จ กับอาหารเจที่จะทานด้วยนะคะเพราะบางครั้งด้วยความเคยชินเราอาจเผลอกินอาหารที่มีวัตถุดิบต้องห้ามเหล่านี้ผสมอยู่ คือ

1.เนื้อสัตว์ ทุกชนิด ถือว่าเป็นอาหารจานแรกๆ ที่การกินเจต้องรู้อยู่แล้วว่าต้องห้าม ไม่ควรกินช่วงเทศกาลกินเจ เพราะเป็นเทศกาลแห่งการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
2.ผลิตผลที่ได้จากสัตว์ทุกชนิดเช่น น้ำผึ้ง ไข่ นมวัว บางคนอาจสงสัยว่า 2 อย่างหลังนี้ไม่ได้ทำร้ายสัตว์ทำไมถึงห้ามกิน เราอย่าลืมว่าไข่ก็มาจากเลือดเนื้อของไก่ และนมก็ได้มาจากการรีดนมวัวซึ่งกลั่นมาจากเลือดของแม่วัวเช่นเดียวกันกับผู้หญิงให้นมบุตร จึงถือว่านมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ที่ห้ามรับประทานเช่นกัน


3.ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากสัตว์ทุกประเภท หรืออยู่ในรูปแบบของเครื่องปรุงรส เช่น ซอยหอยนางรม เช่น เนย น้ำปลา ปูอัด (ทำมาจากปลา) โยเกิร์ต (ทำมาจากนม) ช็อกโกแลต (มีส่วนผสมของนม) บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (ที่ไม่มีสัญลักษณ์เจ) เพราะมีส่วนผสมของเนื้อสัตว์และผักกลิ่นฉุน

4.ห้ามรับประทานผักที่มีกลิ่นฉุน ได้แก่ กระเทียม หอมหัวใหญ่ หลักเกลียว(กระเทียมโทนจีน) กุยช่าย ผักชี และใบยาสูบ โดยจะเห็นได้ว่าผักต่างๆ ที่กล่าวมานี้จะมีกลิ่นฉุนและถูกนำไปประกอบอาหารแทบทุกมื้อในทุกครัวเรือน ดังนั้นในช่วงเทศกาลกินเจถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ได้ฝึกความอดทนจากการงดเว้นการรับประทานอาหารที่เราคุ้นเคยในทุกๆ วันอีกด้วย สาเหตุที่ห้ามกินผักฉุนนั้นเป็นเพราะผักฉุนดังกล่าวเป็นผักที่รสหนัก มีกลิ่นเหม็นคาวรุนแรง ดังนั้นอาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของผู้กินเจได้ นอกจากนี้ ชาวจีนยังเชื่อกันว่า ผักฉุนดังกล่าวมีพิษทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย ส่งผลให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 (ได้แก่ กระเพาะอาหาร ไต ม้าม ตับ ปอด และหัวใจ) ทำงานไม่ปกติ
5.ห้ามดื่มสุรา หลายคนอาจมีคำถามว่าสุราทำมาจากพืชผสมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งไม่ได้มีส่วนผสมใดที่เป็นสัตว์หรือทำมาจากสัตว์ ทำไมจึงห้ามดื่ม คำตอบคือ…นอกจากช่วงเทศกาลกินเจจะงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว ยังจำเป็นต้องรักษาศีลอีกด้วย ซึ่งการดื่มของมึนเมาถือเป็นการผิดศีลข้อ5 นอกจากจะทำให้ผู้ดื่มขาดสติแล้ว ยังทำร้ายสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาวอีกด้วย

6.งดอาหารรสจัด ทั้งอาหารเผ็ด หวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด เนื่องมาจากปกติคนจีนจะไม่กินอาหารรสจัดอยู่แล้ว เพราะเชื่อว่าอาหารรสจัดจะเข้าไปทำลายสุขภาพในร่างกาย เช่น หากกินเผ็ดจัดก็จะไปทำลายกระเพาะอาหาร กินเค็มจัดจะไปทำลายไต ซึ่งข้อห้ามเหล่านี้ถือว่าถูกหลักของการแพทย์

7.กาแฟ ทั้งนี้สำหรับคอกาแฟทั้งหลายที่กำลังสงสัยว่า ในช่วงกินเจสามารถดื่มกาแฟได้หรือไม่นั้น ในเบื้องต้นมีข้อมูลว่า ในกาแฟสำเร็จรูป ทั้งประเภทซอง หรือประเภทกระป๋อง รวมทั้งครีมเทียม มักมีส่วนผสมของนมผงอยู่ด้วย นอกจากนี้ บางร้าน บางยี่ห้อ อาจมีการนำเมล็ดกาแฟไปคั่วกับเนย เพื่อเพิ่มความหอมมัน ดังนั้น ผู้ที่ไม่เคร่งมาก อาจเลือกดื่มกาแฟที่ชงเอง เช่น กาแฟดำ หรือ โอเลี้ยง หรืออาจใช้กาแฟประเภทซองที่เขียนว่า เจ หรือการใช้ครีมเทียมที่ทำจากถั่วเหลือง แต่สำหรับผู้ที่เคร่งมาก ๆ อาจต้องงดเว้นกาแฟในช่วงนี้เพื่อความสบายใจ
อย่างไรก็ตาม ข้อห้ามในการรับประทานอาหารและการปฏิบัติตัวในช่วงกินเจยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันพอสมควร ทว่าเพื่อความสบายใจและสุขใจในการกินเจอย่างแท้จริง อะไรเลี่ยงได้ก็เลี่ยงไปน่าจะดีนะคะ
ข้อมูลจาก : health.kapook.com/view49094.html, hilight.kapook.com/view/29017, www.thairath.co.th/content/373693, https://sukkaphap-d.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
แหล่งสะสมเชื้อโรคที่คุณคาดไม่ถึง

แหล่งสะสมเชื้อโรคที่คุณคาดไม่ถึง!!
หากจะกล่าวถึงสิ่งของรอบตัวที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคมากที่สุดหลายคนคงนึกถึง ลูกบิดประตูและกลอนประตูห้องน้ำ ฝาชักโครกบ้างละ วันนี้ ELVIRA จะพามาดูสิ่งของใกล้ตัวที่เราหลายคนคาดไม่ถึงว่า จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ด้วยเหรอ ถ้าอ่านจนจบอาจจะมีอาการอึ้งอยู่ไม่น้อย เฮ้ย!!เป็นไปได้เหรอ ไม่เชื่อลองมาดูของ 13 สิ่งของใช้ใกล้ตัวที่สกปรกที่สุดจนคนใช้อย่างเราคาดไม่ถึงกันค่ะ
1. โทรศัพท์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต

หลายคนอาจเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว มีการวิจัยพบว่าบนจอโทรศัพท์
สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตมีเชื้อโรคสะสมมากกว่าโถส้วมถึง 20 เท่า !
โดยเฉพาะเชื้อโรค E. coli และ Staphyloccocus aureus ซึ่งเป็นสาเหตุ
ของโรคผิวหนังต่าง ๆ โรคปอดอักเสบ และการติดเชื้อในกระแสเลือด
เชื้อโรคเหล่านี้ถูกนำมาติดโดยการใช้นิ้วสัมผัสบนจอโทรศัพท์โดยไม่ได้ล้างก่อนซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รักษาสุขอนามัยถึงขนาดล้างมือบ่อย ๆ
และไม่ยอมทำความสะอาดหน้าจอบ่อย ๆ
ทำให้เชื้อโรคสะสมอยู่บนจอโทรศัพท์ ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว ฉะนั้นเราควรทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตด้วยน้ำยาทำความสะอาดจอทัชสกรีนโดยเฉพาะอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และล้างมือทุกครั้งก่อนและหลังใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต เพราะเป็นการยั้บยั้งเชื้อโรคได้ดีที่สุด นอกจากนี้ไม่ควรใช้โทรศัพท์ร่วมกับใครเพื่อป้องกันเชื้อโรคติดต่ออีกด้วย
2. คีย์บอร์ด เม้าส์คอมพิวเตอร์

บางครั้งสิ่งที่เราละเลยที่จะทำความสะอาดอย่างคีย์บอร์ดและเม้าส์คอมพิวเตอร์เพียงเพราะคิดว่ามันไม่ได้สกปรกซักเท่าไหร่ นี่ล่ะ คือแหล่งสะสมเชื้อโรคตัวฉกาจเลย ไม่ใช่เพียงแค่เจ้าปุ่มเล็ก ๆ บนคีย์บอร์ด หรือปุ่มบนเม้าส์เพียงเท่านั้นที่มีเชื้อโรคสกปรกสะสมอยู่ แต่บรรดาตามซอกเล็กๆ หรือร่องของคีย์บอร์ดก็เป็นแหล่งกักเก็บฝุ่นและเชื้คโรคที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ อันที่จริงการรักษาความสะอาดอุปกรณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และควรแกะคีย์บอร์ดออกมาทำความสะอาดด้วยอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดการสะสมของเจ้าเชื้อโรคตัวฉกาจได้แล้ว
3. รีโมท
เราหยิบจับรีโมทกันอยู่บ่อย ๆ แต่หารู้ไม่ว่ามันคือแหล่งสะสมเชื้อโรคเช่นกัน เพราะน้อยคนจะนึกถึงว่ารีโมทเป็นสิ่งที่ควรทำความสะอาดด้วยเช่นกัน ทำให้บรรดาเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มาจากสัมผัสโดยตรงกับมือของเราซึ่งยังไม่ผ่านการล้างทำความสะอาดตามสุขอนามัยที่ถูกต้อง สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของรีโมท การทำความสะอาดรีโมทก็ไม่ยาก เพียงแค่ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดทำความสะอาดบ่อย ๆ และควรล้างมือก่อนและหลังจับรีโมทเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
4. ผ้าเช็ดตัว

ผ้าเช็ดตัวเป็นสิ่งที่ไม่ควรใช้ร่วมกัน เพราะในผ้าเช็ดตัวนั้นมีเชื้อโรค Staphylococus ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังซุกซ่อนอยู่ ลองคิดดูว่านอกจากเชื้อโรคแล้วยังมีเซลล์ผิวหนังเก่าที่ต้องมีการผลัดเซลล์ผิว เมื่ออาบน้ำแล้วใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดทุกๆวันหลังอาบน้ำจะเกิดการสะสมของเซลล์ผิวเก่าเราทับถมกันมากขนาดไหน ฟังแล้วน่าขนลุกขึ้นรึยังคะนอกจากนี้หากปล่อยให้ผ้าเช็ดตัวชื้นเป็นเวลานานก็จะทำให้เกิดเชื้อราอีกด้วยทางที่ดีเราควรเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อสุขอนามัยที่ดี และควรนำผ้าเช็ดตัวไปตากในที่แห้งทุกครั้งหลังจากใช้ เพื่อให้ไม่เกิดเชื้อรา
5. แปรงสีฟัน
แปรงสีฟันเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดเพราะเราต้องเอามันเข้าปากอยู่เช้าเย็น ดังนั้นต้องควรรักษาความสะอาดอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้ว่าเราจะทำความสะอาดอย่างไรแต่ผลวิจัยก็เคยพบว่า ในแปรงสีฟันก็ยังมีเชื้อจุลินทรีย์อย่างน้อย 10 ล้านตัว!!! ยิ่งถ้าวางอยู่ใกล้บริเวณชักโครกก็ยิ่งสกปรกขึ้นอีก นอกจากนี้ยังมีเชื้อโรคที่ติดมาจากน้ำลายและเสมหะของผู้ใช้อีกด้วย ดังนั้น นอกจากทำความสะอาดแปรงสีฟันให้สะอาดทุกครั้งที่ใช้แล้ว เราควรทำความสะอาดที่เก็บแปรงสีฟันให้สะอาดอยู่เสมอ และควรเปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุก 3 เดือน เพื่อสุขอนามัยของช่องปากและสุขภาพของตัวเราเอง
6. สวิตช์ไฟ
สวิตช์ไฟเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่เราต้องใช้อยู่ทุกวันแต่ก็ละเลย จากการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่า บนสวิตช์ไฟมีเชื้อแบคทีเรียถึง 217 ตัวต่อตารางนิ้ว โดยเฉพาะสวิตช์ไฟห้องน้ำนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่มากกว่าหลายเท่าตัว ทำให้เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคชั้นดีไปสู่บุคคลอื่นๆ จากการสัมผัสอีกด้วย เมื่อพูดถึงสวิตซ์ไฟก็ให้เลยไปนึกถึงปุ่มกดลิฟต์ที่หลายๆคนก็คงนึกไม่ถึงเช่นกัน โดยปกติลิฟต์จะมีในตึกอาคารสูงๆ เท่ากับเป็นแหล่งที่ผู้คนพลุกพล่านจะขึ้นลงทีก็ต้องใช้นิ้วเรากดทีไม่ต่างกับสวิตซ์ไฟ ดังนั้นหลังจากออกจากลิฟต์แนะนำให้ควรล้างมือทุกครั้งจะดีต่อสุขอนามัยมากกว่านะคะเพราะเราไม่รู้เลยว่า ปุ่มกดลิฟต์ที่เรากดๆ จิ้มๆ กันนั้นทางอาคารได้มีการเช็ดล้างฆ่าเชื้อกันมากน้อยแค่ไหน
รู้แบบนี้แล้ว อย่าละเลยทำความสะอาดสวิตช์ไฟเด็ดขาด เพียงใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะช่วยทำให้สวิตช์ไฟของเราสะอาดและปราศจากเชื้อโรคค่ะ
7. เงิน

“เงิน” ชื่อนี้น่าฟังยิ่งนัก ยิ่งเป็นเงินของเราแล้วยิ่งฟังดูไพเราะเพราะเสียนี่กระไร แต่ใครจะรู้ว่า เงินนี้ ไม่ว่าจะเป็นธนบัตรหรือเหรียญต่างก็เต็มไปด้วยเชื้อโรคที่ส่งผ่านกันมามือต่อมือ ซึ่งเป็นแหล่งเชื้อโรคที่ผู้คนละเลยมากที่สุด โดยผลการศึกษาจากคณะนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ระบุว่า บนธนบัตร 1 ใบ จะมีเชื้อแบคทีเรียสะสมโดยเฉลี่ย 26,000 ตัว ฟังแล้วน่าตกใจมิใช่น้อย ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้มีผลอันตรายกับผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำทั้งนี้ แม้เราจะไม่สามารถทำความสะอาดธนบัตรหรือเหรียญที่รับมาได้ แต่การรักษาความสะอาดที่ดีที่สุดคือการล้างมือทุกครั้งที่จับหรือสัมผัสกับเงิน เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคเหล่านั้นค่ะ
8. กระเป๋าสะพาย เป้ กระเป๋าสตางค์
เราใช้กระเป๋าชนิดต่าง ๆ ในการเก็บข้าวของ แต่หารู้ไม่ว่าภายในกระเป๋าคือแหล่งกักเก็บเชื้อโรคที่เราคาดไม่ถึงเชียวล่ะ มีการวิจัยพบว่าบริเวณก้นกระเป๋านั้นเต็มไปด้วยเชื้อโรคมากกว่าหมื่นตัว นอกจากนี้กระเป๋าสตางค์ก็เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่อันตรายไม่แพ้กัน ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้มาจากธนบัตรและเหรียญนั่นเอง เชื้อโรคส่วนใหญ่ที่พบล้วนเป็นอันตราย ได้แก่ Staphylococcus สาเหตุของทำให้เกิดตาแดง นอกจากนี้ยังมีเชื้อ Salmonella และ E.coli ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ และท้องเสียอีกด้วย

วิธีการรักษาความสะอาดก็ไม่ยาก เพียงนำกระเป๋าไปตากแดด
เพื่อฆ่าเชื้อโรคและหมั่นทำความสะอาดกระเป๋าบ่อย ๆ
ด้วยทิชชู่เปียกที่มีสารเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยง
การนำกระเป๋าไปวางในที่ที่สกปรกด้วย
9. เครื่องปรับอากาศ
ใครว่าเครื่องปรับอากาศที่ใช้กันอยู่เป็นประจำนั้นไม่มีเชื้อโรค มันคือแหล่งกักเก็บและแพร่เชื้อโรคชั้นดีเลยต่างหากล่ะ เพราะเชื้อโรคที่อยู่ในอากาศนั้นจะถูกดักเอาด้วยแผ่นกรองอากาศ แต่บางครั้งเราก็ลืมที่จะนำมันออกมาทำความสะอาดจนแผ่นกรองอากาศเหล่านั้นสกปรกทำให้เชื้อโรคเหล่านั้นแพร่กระจายออกมา ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภัยต่าง ๆ เช่น ภูมิแพ้ ผื่นผิวหนังอักเสบ หืดหอบ ปอดบวมจากเชื้อลีเจียนแนร์ วัณโรค สุกใส งูสวัด หัดเยอรมัน และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ เอาละสิงานนี้ เวลาอากาศร้อนๆ จะวิ่งเข้าหาแอร์ฉ่ำๆ คงมีคิดกันบ้างละ หากจะให้ดีเราควรหมั่นทำความสะอาดภายในบริเวณเครื่องปรับอากาศอยู่เสมอเพียงเรานำแผ่นกรองอากาศออกมาทำความสะอาดเดือนละครั้ง และควรจะล้างแอร์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เท่านี้ก็อุ่นใจขึ้นมาบ้าง
10. หมอน – เตียงนอน
สองสิ่งนี้ใครจะคิดละ ในเมื่อก่อนจะเข้านอนก็อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายมาแล้วก่อนเข้านอนทุก ๆ คืนนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรก เพราะในทุกคืนที่เรานอนหลับนั้นผิวของเราก็จะผลัดเซลล์ที่ตายออก ซึ่งตกอยู่บนเตียงนอนและหมอน นอกจากนี้ยังมีบรรดาเศษสิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มาจากกิจกรรมที่เราทำบนเตียงนอน ไม่ว่าจะเป็นการนอนโดยไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า การนำของมาวางไว้ หรือแม้แต่การนำอาหารขึ้นมากินบนเตียงนอน และเมื่อเรานอนในเวลากลางคืนก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เชื้อโรคเหล่านั้นจะเข้าสู่ร่างกายของเรา

อย่างไรก็ตาม แสงแดดและน้ำร้อนสามารถทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคที่อยู่บนหมอนและเตียงนอนได้ เพียงนำปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนมาซักด้วยน้ำร้อนสัปดาห์ละครั้ง และหมั่นนำเอาหมอนและเตียงนอนมาตากแดดบ่อย ๆ เท่านี้ก็เป็นการกำจัดเชื้อโรคและเศษสิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้ค่ะ
11. ฝักบัว
ฝักบัวเป็นแหล่งสะสมเชื้อราและแบคทีเรียที่เราละเลยทั้งที่ใช้อยู่ทุกวัน เพราะคงจะหาคนที่ทำความสะอาดฝักบัวทุกวัน หรือแม้แต่จะทำความสะอาดทุกสัปดาห์ก็ยังเป็นไปได้ยาก ซึ่งเชื้อโรคที่อยู่ในฝักบัวนั้นเป็นสาเหตุของโรคปอดอีกด้วยค่ะ
การทำความสะอาดฝักบัวในเบื้องต้นคือการนำน้ำส้มสายชูหรือแอมโมเนียเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และหมั่นถอดฝักบัวออกมาทำความสะอาดด้วยแปรงสีฟันกับผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจาน หากเป็นฝักบัวที่ถอดออกไม่ได้ ก็นำถุงพลาสติกใส่น้ำส้มสายชูแล้วนำหัวฝักบัวแช่ในถุงข้ามคืนหลังจากนั้นค่อยทำความสะอาดอีกครั้งหนึ่งค่ะ
12. อ่างล้างจาน ฟองน้ำ
อ่างล้างจาน
เชื่อรึเปล่าคะว่า บริเวณอ่างล้างจานในบ้านเรา แต่ละตารางนิ้วนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 500,000 ตัวทั้งชนิดที่รุนแรงและไม่รุนแรง อย่างเช่น “เชื้อซัลโมเนลล่า” ซึ่งเป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษหรืออุจจาระร่วง OMG!!! ตายแล้วน่ากลัวมากๆ หากนำไปใช้ล้างและขัดถูภาชนะต่าง ๆ คนเราก็มีสิทธิ์เอาเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ วิธีทำความสะอาดขจัดคราบที่คู่ควรกับตัวเลขห้าแสนนี้ ก็คือ ใช้โซดาไฟหรือน้ำส้มสายชูราดทำความสะอาดมันซะ แล้วตามด้วยน้ำเปล่าตามไปอีกที หรือใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับล้างอ่างล้างจานที่มีสารกำจัดเชื้อแบคทีเรียล้าง อ่างล้างจานอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เท่านี้ก็ช่วยจัดการกับเชื้อโรคได้แล้วส่วนนึง
ฟองน้ำล้างจาน
ด้วยวัสดุและรูป ลักษณ์ของมันที่เต็มไปด้วยรูพรุนที่สามารถให้น้ำ อากาศ ออกซิเจน เศษอาหารเข้าไปอาศัยอยู่ จึงเป็นแหล่งชุมชนแออัดของเหล่าเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี แล้วคิดดูสิคะว่า ฟองน้ำที่เราใช้ล้างจานอยู่ที่บ้านทุกวันนั้นจะสกปรกแค่ไหน อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ เราสามารถทำความสะอาดฟองน้ำให้ปราศจากเชื้อโรคได้โดยวิธีง่ายๆ คือ เอาไปต้มหรือให้ความร้อนผ่านไมโครเวฟซัก 60 วินาที หรือนำฟองน้ำที่ใช้สำหรับล้างจานไปตามแดดอย่างน้อย 2 -3 ชั่วโมงเพื่อให้แสงแดดช่วยทำลายกรดและเชื้อแบคทีเรียในฟองน้ำแค่นี้ก็จัดการกับเชื้อโรคตัวร้ายได้แล้วล่ะ
13. ตู้เย็น
ใครจะคิดว่าที่ ที่เราใช้เก็บอาหาร กับข้าวที่เราไว้ทานอย่างตู้เย็นจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่างๆ ด้วย เพราะเชื้อโรคเป็นจำนวนเติบโตได้ดีในอากาศเย็น ทำให้เชื้อโรคที่ติดมากับภาชนะใส่อาหารหรืออาหารสดต่าง ๆ สามารถเติบโตและแพร่กระจายอยู่ในตู้เย็น โดยเฉพาะเจ้าแบคทีเรียที่ชื่อ ลิสเทอเรีย (Listeria) ซึ่งหากเข้าสู่ร่างกายอาจทำให้เกิดอาการหนาวสั่น ปวดท้อง หรือปวดศีรษะได้ ดังนั้นเราจึงควรหมั่นเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และควรเช็ดทำความสะอาดตู้เย็นด้วยน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อเดือนละครั้งอีกด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเราจะเข้าใจว่ามีเพียงวิธีการเดียวที่จะเป็น สิ่งที่ป้องกันเชื้อโรคต่างๆ รอบตัวได้นั่นก็คือการรักษาความสะอาดและสุขอนามัยของตนเองรวมทั้งสิ่งของ สถานที่ต่างๆ ใกล้ตัวอยู่เสมอ ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะหลีกไกลจากการเจ็บป่วย เริ่มต้นง่าย ๆ เพียงแค่ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสกับสิ่งสกปรก เพียงแค่นั้นเราก็จะมีสุขภาพที่ดีได้
ข้อมูลจาก : www.kaijeaw.com, health.kapook.com, www.dek-d.com, www.manager.co.th,
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
สารพัดประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวเพื่อสุขภาพผิวสวย

น้ำมันมะพร้าวบำรุงผิวพรรณ
มะพร้าวเป็นไม้ยืนต้นที่อยู่คู่คนไทยมานาน และถือเป็นพืชที่นำมาใช้ประโยชน์ได้เกือบทุกส่วน วันนี้ ELVIRA จะแนะนำส่วนที่เป็นน้ำมันจากลูกมะพร้าวซึ่งจริงๆแล้วมีประโยชน์หลายด้านมากแต่วันนี้เราจะมาดูประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวในด้านสุขภาพและความงามกัน ปัจจุบันนี้ “น้ำมันมะพร้าว”ถูกนำมาใช้ด้านความสวยความงามกันอย่างแพร่หลาย มาดูกันเลย
บำรุงผิวพรรณ

น้ำมันมะพร้าวมีสรรพคุณโดดเด่นในการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ด้วยคุณสมบัติเด่นคือ ปกป้องผิวพรรณจากแสงแดด ลม ฝุ่นละออง และอุดมด้วยสารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงและซ่อมแซมเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ผิวหนังให้แข็งแรงกลับมามีชีวิตชีวา เช่น วิตามินอี และมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้น ทั้งเก็บรักษาความชุ่มชื้นในชั้นผิวหนังเอาไว้ ทำให้เซลล์ผิวเต่งตึง ช่วยลดริ้วรอยที่มักเป็นปัญหาที่น่ากังวลใจของผู้ที่มีริ้วรอยก่อนวัย และผู้สูงวัยอย่างได้ผล ในสมัยโบราณนับว่าเป็นเคล็ดลับในการดูแลผิวที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักใช้น้ำมันมะพร้าวทาหน้าเพื่อใช้บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสไม่แห้งกร้าน เพื่อลดรอยเหี่ยวย่น แนะนำว่าหากจะใช้ทาให้ทาเฉพาะตอนกลางคืนหรือช่วงก่อนเข้านอน
นอกจากบำรุงผิวพรรณแล้วยังแก้ปัญหาส้นเท้าแตกด้วยการทาน้ำมันมะพร้าว และนวดคลึงทุกวันก่อนนอนติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อหายแล้วให้ใช้ต่อไปเรื่อย ๆ รอยแตกจะไม่กลับมากวนใจเราอีก
รักษาสิว
น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริก (lauric acid) ช่วยขจัดเชื้อแบคทีเรีย บนใบหน้าป้องกันปัญหาใหญ่อย่างสิวเรื้อรัง ลดการอักเสบของสิว นอกจากนี้ยังมีวิตามิน E และวิตามิน K ช่วยลดรอยแผลเป็นหลังเกิดสิว น้ำมันมะพร้าวยังเหมาะกับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย สามารถใช้ได้ทุกวัน
นอกจากรักษาสิวแล้วยังมีผลการศึกษาอีกมากมายพบว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น โรคเรื้อน โรคสะเก็ดเงิน และหากใช้เป็นประจำน้ำมันมะพร้าวยังช่วยสมานแผลต่างๆ ได้ด้วย
บรรเทาผิวหน้าลอกแห้ง
น้ำมันมะพร้าวใช้ทาช่วยแก้อาการผิวแห้ง ผิวแตก ผิวลอก ผิวเป็นขุยได้ สาวๆ หลายคนมีปัญหาผิวหน้าลอก แห้ง ทาแป้งหรือเครื่องสำอางอยู่ไม่ทนและครีมบำรุงผิวไม่ซึมสู่ผิวหนัง สาเหตุเกิดจากผิวหนังผลัดเซลล์ผิวได้ไม่ดี หรือผิวขาดน้ำ น้ำมันมะพร้าว ช่วยได้โดย ทาน้ำมันมะพร้าวทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 10-30 นาที แล้วล้างออก ส่วนคนที่ผิวหน้าแห้งมากอาจใช้น้ำมันมะพร้าวทาแทนครีมบำรุงประเภทมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับกลางคืนได้เลย
บำรุงผิวหน้า
สารอนุมูลอิสระ เป็นตัวการอันหนึ่งของการเกิดฝ้า และ กระ วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะทำหน้าที่ต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ป้องกันรอยหมองคล้ำ ตามปกติผิวหนังจะสูญเสียความชุ่มชื้น เพราะถูกแดดและลม
น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็นสารรักษาความชุ่มชื้น รักษาอาการผิวแห้ง แตก ลอก เป็นขุย ลดอาการผื่นแพ้ แสบคันตามผิวหนัง จึงช่วยให้ผิวนวลเนียน อีกทั้งช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวทาแก้ผิวไหม้แดด อาการแสบร้อนจะบรรเทาลง

น้ำมันมะพร้าวคือสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ นำสำลีชุบน้ำอุ่นแล้วบีบน้ำออก หยดน้ำมันมะพร้าว 2-3 หยดลงบนสำลีทาให้ทั่วใบหน้า สามารถทิ้งไว้ได้โดยไม่ต้องล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มไม่แห้งกร้าน รู้สึกว่าผิวหน้าละเอียดขึ้น หน้าเนียนขึ้น รอยด่างดำจากสิวจางลงมากอย่างไม่น่าเชื่อ
ใช้ทาหน้าบางๆ ก่อนนอนแทนครีมบำรุงผิว แนะนำว่าต้องเป็นน้ำมันมะพร้าวแบบสกัดเย็น เพราะน้ำมันมะพร้าวที่ผ่านความร้อนจะทำให้วิตามิน E สลายไป ไม่เหมือนการสกัดเย็นที่ยังได้คุณค่าของน้ำมันมะพร้าวครบ
นอกจากจะใช้ทาบำรุงผิวหน้าแล้ว ผิวกายก็ควรใช้ร่วมด้วย เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดเมื่อย ปวดข้อต่างๆ ใช้เป็นประจำทุกวัน อุดมด้วยวิตามิน E ช่วยปกป้องรังสี UV
สมานผิวป้องกันหน้าท้องแตกลาย
น้ำมันมะพร้าวช่วยเร่งฟื้นฟูผิว โดยเฉพาะคุณแม่ที่เริ่มตั้งครรภ์ หากใช้ทาก่อนหน้าท้องเริ่มขยาย จะช่วยป้องกันการแตกลายของผิวที่ค่อยๆ ยืดขยายตัวโดยใช้น้ำมันมะพร้าวนวดผิวบริเวณที่กำลังขยายเป็นประจำทุกเช้า-เย็น จะช่วยทำให้ผิวบริเวณนี้มีความชุ่มชื้นไม่แห้งแตกลายได้
รอยคล้ำใต้ดวงตา
ผิวบริเวณใต้ดวงตานั้นมีความบอบบางมาก สามารถเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ถุงใต้ตา หรือรอยคล้ำใต้ตาได้ง่าย น้ำมันมะพร้าวก็มีคุณสมบัติบำรุงผิวรอบดวงตาได้เหมือนกับอายครีม จะทำให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มและละเอียดขึ้น ขนตายาวขึ้นอีกด้วย
เช็ดเครื่องสำอาง สะอาดหมดจด
ใช้น้ำมันมะพร้าวหยดบนสำลีพอประมาณแล้วเช็ดให้ทั่วใบหน้า สามารถใช้เช็ดเครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตา และริมฝีปากหมดเกลี้ยง สำหรับผู้ที่แต่งหน้าสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเช็ดทำความสะอาดได้ 2 รอบเพื่อความสะอาดอย่างหมดจด เมื่อเช็ดด้วยน้ำมันมะพร้าวทั่วทั้งใบหน้าแล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที คราบเครื่องสำอางจะหลุดออกหมด ตามด้วยล้างออกด้วยสบู่ หลังจากนั้นซับหน้าให้แห้ง
น้ำมันมะพร้าวซึ่งมีโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถแทรกซึมทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก ช่วยลดการเกิดสิว ฝ้า และการสะสมของสารเคมีจากเครื่องสำอาง ช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับ เต่งตึง ผิวหน้าเนียนใส และช่วยขจัดสิ่งอุดตันที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว อย่างได้ผล
อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันมะพร้าวบำรุงสุขภาพนั้น หากต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ก็ควรดูตามความเหมาะสมของสุขภาพเราด้วย เพราะถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ยังเป็นน้ำมันอยู่ดี หากร่างกายได้รับในปริมาณมาก ผลลัพธ์ก็อาจตรงกันข้ามก็ได้
ข้อมูลจาก : www.medthai.com, www.health.haijai.com, www.greenshopcafe.com, health.kapook.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
5 ผลไม้บำรุงเลือดเพื่อสุขภาพผิวสวย

5 ผลไม้บำรุงเลือดเพื่อสุขภาพผิวสวย
ในผลไม้ที่เรารับประทานอยู่ทุกวันเป็นประจำจริงๆแล้วมี ธาตุ และสารอาหารหลัก เช่น ธาตุเหล็ก โปรตีน และกรดอะมิโนต่างๆ ซึ่งไม่ได้มีแค่ให้ความอร่อย หรือให้แค่วิตามินและดูแลผิวพรรณให้ดูสวยสุขภาพดีเท่านั้นนะแต่มีดีกว่านั้น เพราะว่าผลไม้ที่มีอยู่หลากหลายชนิดยังช่วยในการบำรุงเลือดได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยบำรุงเนื้อเยื้อต่างๆให้แข็งแรงอีกด้วยในบทความนี้ ELVIRA จะพามารู้จักประโยชน์ของผลไม้ที่เกี่ยวกับเฮโมโกลบิน อันจะส่งผลดีต่อเชลล์เม็ดเลือดแดงของเรา เป็นปัจจัยต้นๆที่ทำให้ ผิวของเราสดใส อยู่ตลอดเวลา ตามมาอ่านเรื่องน่ารู้ของบรรดาเหล่าผลไม้ที่มีผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือดและช่วยบำรุงเลือดและสร้างสุขภาพให้ดีขึ้นกันค่ะ
1. แตงโม

อากาศร้อนๆทีไรให้คิดถึง ผลไม้ ที่มีเนื้อสีแดงๆ ฉ่ำน้ำนี้ทุกที ใครจะรู้ว่าในแตงโมมีประโยชน์ต่อกล้ามเนื้อหัวใจคนเรา จากผลการวิจัยของมหาลัยชื่อดังของสหรัฐอเมริกาพบว่า หากเรารับประทานแตงโมเพียงครึ่งผล ต่อวัน จะเป็นผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือด เพราะแตงโมมีกรดอมีโนอาร์จินีน (Arginine) ที่ร่างกายไนตริกออกไซด์ (Nitric oxide) เพื่อให้เลือดมีคุณภาพมากขึ้นถึง 22 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีผลป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และก็ป้องกันภาวะหลอดเลือดแข็งตัว พอรู้แบบนี้แล้วใครที่ไม่ชอบทานแตงโม คงต้องหันมาทานแตงโมแล้วละงานนี้
2. แก้วมังกร

แก้วมังกรนั้นอุดมไปด้วยโปรตีน จึงทำให้ผู้ที่รับประทานแก้วมังกรอยู่เป็นประจำมีผิวที่ไร้ริ้วรอย ดูเรียบเนียน เต่งตึง จากผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรส่วนเนื้อสีแดงนั้นมีผลดีต่อระบบไหลเวียนของเลือด แถมยังมีธาตุเหล็กในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเชลล์เม็ดเลือดอีกด้วย นอกจากนั้นไฟเบอร์ที่มีอยู่ในแก้วมังกรนั้นยังช่วยฟื้นฟูและสร้างความแข็งแรงให้กับบริเวณช่องคลอด รวมไปถึงบรรเทาอาการตกขาวของผู้หญิงได้อีกด้วย
3. กล้วย

กล้วยอีกหนึ่งผลไม้ที่มีสารพัดประโยชน์ ในกล้วยนั้นมีแมกนีเซียมเป็นจำนวนมาก นอกจากช่วยให้อิ่มท้อง และช่วยเรื่องขับถ่ายแล้ว ยังช่วยบำรุงผิวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยจากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี นอกจากประโยชน์ที่กล่าวมาแล้วกล้วยยังเป็นผลไม้หาซื้อรับประทานได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไปและราคาไม่แพงอีกด้วย
4. สตรอเบอร์รี่

สตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้ของโปรดของใครหลายคนมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ซึ่งรสชาติเปรี้ยวที่ว่านั้นก็มีคุณสมบัติของวิตามินC ที่ช่วยในการบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดงนั่นเอง รวมถึงตัวเมล็ดเล็กๆ ในผลสตรอเบอร์รี่ ยังช่วยในการลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสียอีกด้วย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่าอาสาสมัครผู้บริโภคสตรอเบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน ผลการตรวจเลือดของพวกเขาพบว่ามีเชลล์เม็ดเลือดแดงอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติมาก จึงส่งผลให้พวกเขาเหล่านั้นมีผิวพรรณภายนอกที่สดใส ดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น ดีขนาดนี้ใครจะอดใจไหว
5. ทับทิม

ทับทิมเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติหลากหลาย หนึ่งในประโยชน์ที่แสนดีของทับทิมคือช่วยรักษาอาการของผู้ป่วยเบาหวานจากผลการวิจัยจากมหาลัยชื่อดังของสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานทับทิมเป็นประจำทำให้หายจากโรคเบาหวานได้เพราะ ในทับทิมมีคุณสมบัติช่วยกักเก็บเชลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยลดระดับอินซูลินในกระแสเลือด สร้างระบบไหลเวียนโลหิตให้เป็นปกติ ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งขึ้นอีกด้วย โดยทดลองจากผู้ป่วยโรคเบาหวาน 10 คนให้ดื่มน้ำทับทิมวันละ 1 แก้ว เป็นระยะเวลา 3 เดือน เห็นผลว่ามีระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และมีอาการอ่อนเพลีย ผมร่วง น้อยลงมาก แถมยังมีผิวพรรณที่ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย
ประโยชน์ดีแบบนี้ก็ต้องหมั่นทานกันเป็นประจำนะคะ นอกจากจะเสริมสร้างสุขภาพดีๆ แล้วยังดีต่อระบบขับถ่ายและผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นอีกด้วย ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นนะที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิตเลือดได้อย่างเป็นปกติยังมีวิธีที่ง่ายๆ อีกที่จะช่วยบำรุงเลือดคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้แล้ว
ข้อมูลจาก : www.tescolotus.com, health.kapook.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai