Cooking, TIPS & TRICK
11 ความมหัศจรรย์!! ของการดื่มน้ำเปล่า

ใครๆ ก็รู้ว่า น้ำเปล่าดื่มแล้วดีต่อสุขภาพ ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย ยังช่วยในเรื่องการขับถ่าย และบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น ไม่แห้ง ดูมีน้ำมีนวล ราคาไม่แพง นอกเหนือจากนั้นละ…มีใครรู้ถึงประโยชน์ของการดื่มน้ำเปล่าอีกบ้าง วันนี้ ELVIRA จะพาแฟนๆ มารู้จัก 11 ความมหัศจรรย์ของน้ำเปล่ากันค่ะเรียกได้ว่าคัดเอาแต่ที่เด็ดๆ ทั้งหมด มาดูกันว่ามันน่าว๊าวววว ขนาดไหน รับรองว่าเมื่ออ่านจบแล้ว แฟนๆ ต้องหันมาดื่มน้ำเปล่าแทนการดื่มน้ำอัดลมแน่นอนค่ะ
1. ดื่มน้ำช่วยลดอาการอ่อนเพลีย
สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ร่างกายเกิดการอ่อนเพลียก็คือภาวะขาดน้ำ ดังนั้นการดื่มน้ำจะทำให้ร่างกายภายในชุ่มชื้นขึ้น และลดภาวะขาดน้ำได้ ช่วยให้รู้สึกสดชื่นมีแรงขึ้นกว่าเดิม ใครที่กำลังรู้สึกอ่อนเพลียลองจิบน้ำดูนะคะ รับรองว่าช่วยได้แน่นอน
2. ช่วยให้ลดน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้น
สาวๆ ได้ยินคงหันมาดื่มน้ำเปล่ากันมากขึ้นละงานนี้ เพราะการดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้องและรับประทานอาหารได้น้อยลง รวมทั้งถ้าหากดื่มน้ำขณะที่กำลังหิวๆ ละก็ จะช่วยลดความอยากอาหาร หรือพฤติกรรมการทานจุกจิกได้เป็นอย่างดี นั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้น้ำหนักของเราลดลงด้วย การดื่มน้ำก็ยังช่วยเพิ่มการทำงานของระบบการเผาผลาญอีกด้วยโดยเฉพาะน้ำเย็น สามารถช่วยให้ร่างกายเผาผลาญได้มากขึ้นเยอะเลยล่ะ
การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วจะช่วยให้ปริมาณไขมันในร่างกายของเราให้ลดลงได้ หากเราดื่มเพียงน้ำเปล่าภายในระยะเวลาแค่ 9 วัน สามารถทำให้น้ำหนักของคุณลดลงราวกับว่าคุณไปออกกำลังกายวิ่งจ๊อกกิ้งมา 8 กิโลเมตรใน 1 วันได้อย่างไม่หน้าเชื่อ
3. ขจัดสารพิษในร่างกาย
ช่วยรักษาสุขภาพไตให้แข็งแรง ใครก็รู้ว่าไตเป็นอวัยวะที่สำคัญในการขับสารพิษออกจากร่างกาย เมื่อไตกรองสารพิษในของเหลวที่อยู่ในร่างกายแล้วก็จะถูกขับออกมาในรูปแบบต่างๆ อาทิเช่น เหงื่อ และปัสสาวะ การดื่มน้ำจะช่วยให้ร่างกายขับสารพิษออกมาได้ดีขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดการติดเชื้อในท่อปัสสาวะและนิ่วในไตได้
4. ช่วยรักษาโรคหลายๆ ชนิดได้
*ช่วยลดอาการปวดต่างๆ เช่น การปวดหลังหรือบั้นเอว ปวดตามข้อ
* รักษาอาการปวดหัวได้
อาการไมเกรนและปวดหลัง แท้จริงแล้วอาจมีสาเหตุมาจากภาวะขาดน้ำในร่างกายได้ ดังนั้นการดื่มน้ำอย่างเพียงพอนี่ล่ะจะสามารถช่วยลดอาการเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ไม่เชื่อก็ลองดื่มน้ำเยอะๆ เวลาปวดหัวดูสิ จะรู้สึกเลยว่าอาการปวดหัวเบาลงเลยล่ะ
* ป้องกันโรคมะเร็ง
มีการศึกษาหนึ่งพบว่าการดื่มน้ำมากๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เพราะการดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น ซึ่งการปัสสาวะบ่อยๆ จะช่วยลดการก่อตัวของสารก่อมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะได้ นอกจากนี้การดื่มน้ำอย่างเพียงพอไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำก็ยังช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเต้านมได้อีกด้วยค่ะ
* ป้องกันตะคริว และอาการเคล็ด
ภาวะขาดน้ำส่งผลให้ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและสารหล่อลื่นระหว่างข้อต่อต่าง ๆ ลดน้อยลง จนอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย ดังนั้นการดื่มน้ำจึงจำเป็นต่อกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ ถ้าไม่อยากเป็นตะคริว หรือเคล็ดขัดยอกตามข้อต่อต่างๆ ควรหมั่นดื่มน้ำให้เพียงพออยู่เสมอค่ะ
5.ช่วยให้อารมณ์ดี
หลายคนอาจจะแปลกใจว่าการดื่มน้ำช่วยทำให้อารมณ์ได้ด้วยอย่างนั้นหรือ ขอบอกเลยค่ะว่าช่วยได้ เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย ก็จะช่วยให้ระบบการทำงานต่างๆ ภายในทำงานได้เป็นปกติ ลืมไปได้เลยกับอาการผิดปกติต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อจิตใจ
6. ช่วยลดการเกิดกลิ่นปาก และลดอาการเครียด
ช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย สบายใจ สำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทำงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น อย่าเครียดจนลืมดื่มน้ำ
7. ดีต่อสุขภาพหัวใจ
ช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างเป็นปกติและมีประสิทธิภาพ มีการศึกษาหนึ่งพบว่าปริมาณน้ำที่ดื่มนั้นมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าหากเราดื่มน้ำเพียงแค่ 5 แก้วใน 1 วัน สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการหัวใจวายได้ถึง 41% การดื่มน้ำมากขึ้นทำให้ความเสี่ยงโรคหัวใจลดลง แต่การดื่มเครื่องดื่มที่มีพลังงานสูง อย่างเช่น โซดาหรือน้ำผลไม้ จะทำให้ความเสี่ยงในการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจสูงขึ้นอีกด้วยค่ะ
8. ช่วยต่อสู้กับอาการป่วย
น้ำสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับผิวหนังของคุณได้ แถมยังป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ที่จะเข้าสู่ร่างกายได้อีกด้วย การดื่มน้ำสามารถช่วยลดอาการคัดจมูกและภาวะขาดน้ำในระหว่างที่ป่วยเป็นไข้หวัดได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการศึกษาใดยืนยันอย่างชัดเจนว่าการดื่มน้ำสามารถรักษาไข้หวัดได้ แต่เราก็ควรที่จะดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมค่ะ

9. สร้างเสริมสมองให้ทำงานดีและไวขึ้น
สมองของเราประกอบไปด้วยน้ำ ประมาณ 75-85% หากเราดื่มน้ำมากๆ ก็จะช่วยให้สมองเราทำงานได้ดีขึ้น แถมยังมีสมาธิมากขึ้นอีกด้วยการศึกษาในเมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ พบว่านักศึกษาที่นำน้ำเข้าไปดื่มด้วยในห้องสอบ จะทำข้อสอบได้คะแนนดีกว่า นั่นก็เป็นเพราะว่า น้ำจะช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง ส่งผลต่อการทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะในเรื่องของความจำ หรือการคิดประมวลผลต่างๆ ช่วยทำให้เกิดสมาธิมากขึ้น ผู้ที่อยู่ในวัยเรียนควรให้ความสำคัญของการดื่มน้ำให้มากๆ
10. ช่วยปรับสมดุลในด้านต่างๆ ของร่างกาย
ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยในการย่อยอาหาร โดยน้ำจะไปช่วยระบบย่อยอาหารให้ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงยังช่วยป้องกันโรคกรดไหลย้อนได้อีกด้วย ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายของเราได้ ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่ ในขณะที่เราออกกำลังกายทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น และการดื่มน้ำในขณะที่ออกกำลังกายจะช่วยให้อุณหภูมิในร่างกายลดลงได้ และช่วยทดแทนของเหลวในร่างกายที่เสียไปจากการขับเหงื่อ แต่ก็ควรจะดื่มน้ำอย่างเหมาะสม โดยค่อยๆ จิบน้ำหลังจากออกกำลังกาย ไม่ควรดื่มรวดเดียวเพราะอาจจะทำให้เกิดอาการจุกและเป็นอันตรายได้
เห็นความมหัศจรรย์ของการดื่มน้ำเปล่าแบบนี้แล้ว คงต้องลองหันมาดื่มน้ำบ่อยๆ เสียแล้วล่ะ หากอยากมีสุขภาพที่ดี ก็สามารถเริ่มต้นง่ายๆ ได้ที่ตัวเรานะคะ
11. ลดอาการแฮงค์
การดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ และทำให้เกิดอาการแฮงค์ การดื่มน้ำหนึ่งแก้วหลังจากที่คุณจิบแอลกอฮอล์ จะช่วยลดภาวะขาดน้ำได้อีกทางหนึ่ง แถมยังช่วยให้อาการแฮงค์หลังจากดื่มแอลกอฮอล์ลดลงอีกด้วย
เห็นความมหัศจรรย์ของการดื่มน้ำเปล่าแบบนี้แล้ว คงต้องลองหันมาดื่มน้ำบ่อยๆ เสียแล้วล่ะ หากอยากมีสุขภาพที่ดี ก็สามารถเริ่มต้นง่ายๆ ได้ที่ตัวเรานะคะ
ข้อมูลจาก
https://medthai.com
health.kapook.com
health.mthai.com
Cooking, TIPS & TRICK
อาหารที่ต้องห้ามในช่วงกินเจ

อาหารที่ต้องห้ามในช่วงกินเจ
เทศกาลกินเจแอดมินเห็นหลายคนใช้โอกาสนี้ในการปฏิบัติธรรมถือศีลกินเจลดละการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตโดยงด การกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด
วันนี้ ELVIRA จะมาแบ่งปันอาหารที่ห้ามกินในช่วงเทศกาลกินเจสำหรับคนที่กินเจซึ่งคนกินเจควรต้องใสใ่จ กับอาหารเจที่จะทานด้วยนะคะเพราะบางครั้งด้วยความเคยชินเราอาจเผลอกินอาหารที่มีวัตถุดิบต้องห้ามเหล่านี้ผสมอยู่ คือ

1.เนื้อสัตว์ ทุกชนิด ถือว่าเป็นอาหารจานแรกๆ ที่การกินเจต้องรู้อยู่แล้วว่าต้องห้าม ไม่ควรกินช่วงเทศกาลกินเจ เพราะเป็นเทศกาลแห่งการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
2.ผลิตผลที่ได้จากสัตว์ทุกชนิดเช่น น้ำผึ้ง ไข่ นมวัว บางคนอาจสงสัยว่า 2 อย่างหลังนี้ไม่ได้ทำร้ายสัตว์ทำไมถึงห้ามกิน เราอย่าลืมว่าไข่ก็มาจากเลือดเนื้อของไก่ และนมก็ได้มาจากการรีดนมวัวซึ่งกลั่นมาจากเลือดของแม่วัวเช่นเดียวกันกับผู้หญิงให้นมบุตร จึงถือว่านมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ที่ห้ามรับประทานเช่นกัน


3.ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากสัตว์ทุกประเภท หรืออยู่ในรูปแบบของเครื่องปรุงรส เช่น ซอยหอยนางรม เช่น เนย น้ำปลา ปูอัด (ทำมาจากปลา) โยเกิร์ต (ทำมาจากนม) ช็อกโกแลต (มีส่วนผสมของนม) บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (ที่ไม่มีสัญลักษณ์เจ) เพราะมีส่วนผสมของเนื้อสัตว์และผักกลิ่นฉุน

4.ห้ามรับประทานผักที่มีกลิ่นฉุน ได้แก่ กระเทียม หอมหัวใหญ่ หลักเกลียว(กระเทียมโทนจีน) กุยช่าย ผักชี และใบยาสูบ โดยจะเห็นได้ว่าผักต่างๆ ที่กล่าวมานี้จะมีกลิ่นฉุนและถูกนำไปประกอบอาหารแทบทุกมื้อในทุกครัวเรือน ดังนั้นในช่วงเทศกาลกินเจถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ได้ฝึกความอดทนจากการงดเว้นการรับประทานอาหารที่เราคุ้นเคยในทุกๆ วันอีกด้วย สาเหตุที่ห้ามกินผักฉุนนั้นเป็นเพราะผักฉุนดังกล่าวเป็นผักที่รสหนัก มีกลิ่นเหม็นคาวรุนแรง ดังนั้นอาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของผู้กินเจได้ นอกจากนี้ ชาวจีนยังเชื่อกันว่า ผักฉุนดังกล่าวมีพิษทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย ส่งผลให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 (ได้แก่ กระเพาะอาหาร ไต ม้าม ตับ ปอด และหัวใจ) ทำงานไม่ปกติ
5.ห้ามดื่มสุรา หลายคนอาจมีคำถามว่าสุราทำมาจากพืชผสมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งไม่ได้มีส่วนผสมใดที่เป็นสัตว์หรือทำมาจากสัตว์ ทำไมจึงห้ามดื่ม คำตอบคือ…นอกจากช่วงเทศกาลกินเจจะงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว ยังจำเป็นต้องรักษาศีลอีกด้วย ซึ่งการดื่มของมึนเมาถือเป็นการผิดศีลข้อ5 นอกจากจะทำให้ผู้ดื่มขาดสติแล้ว ยังทำร้ายสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาวอีกด้วย

6.งดอาหารรสจัด ทั้งอาหารเผ็ด หวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด เนื่องมาจากปกติคนจีนจะไม่กินอาหารรสจัดอยู่แล้ว เพราะเชื่อว่าอาหารรสจัดจะเข้าไปทำลายสุขภาพในร่างกาย เช่น หากกินเผ็ดจัดก็จะไปทำลายกระเพาะอาหาร กินเค็มจัดจะไปทำลายไต ซึ่งข้อห้ามเหล่านี้ถือว่าถูกหลักของการแพทย์

7.กาแฟ ทั้งนี้สำหรับคอกาแฟทั้งหลายที่กำลังสงสัยว่า ในช่วงกินเจสามารถดื่มกาแฟได้หรือไม่นั้น ในเบื้องต้นมีข้อมูลว่า ในกาแฟสำเร็จรูป ทั้งประเภทซอง หรือประเภทกระป๋อง รวมทั้งครีมเทียม มักมีส่วนผสมของนมผงอยู่ด้วย นอกจากนี้ บางร้าน บางยี่ห้อ อาจมีการนำเมล็ดกาแฟไปคั่วกับเนย เพื่อเพิ่มความหอมมัน ดังนั้น ผู้ที่ไม่เคร่งมาก อาจเลือกดื่มกาแฟที่ชงเอง เช่น กาแฟดำ หรือ โอเลี้ยง หรืออาจใช้กาแฟประเภทซองที่เขียนว่า เจ หรือการใช้ครีมเทียมที่ทำจากถั่วเหลือง แต่สำหรับผู้ที่เคร่งมาก ๆ อาจต้องงดเว้นกาแฟในช่วงนี้เพื่อความสบายใจ
อย่างไรก็ตาม ข้อห้ามในการรับประทานอาหารและการปฏิบัติตัวในช่วงกินเจยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันพอสมควร ทว่าเพื่อความสบายใจและสุขใจในการกินเจอย่างแท้จริง อะไรเลี่ยงได้ก็เลี่ยงไปน่าจะดีนะคะ
ข้อมูลจาก : health.kapook.com/view49094.html, hilight.kapook.com/view/29017, www.thairath.co.th/content/373693, https://sukkaphap-d.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
แหล่งสะสมเชื้อโรคที่คุณคาดไม่ถึง

แหล่งสะสมเชื้อโรคที่คุณคาดไม่ถึง!!
หากจะกล่าวถึงสิ่งของรอบตัวที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคมากที่สุดหลายคนคงนึกถึง ลูกบิดประตูและกลอนประตูห้องน้ำ ฝาชักโครกบ้างละ วันนี้ ELVIRA จะพามาดูสิ่งของใกล้ตัวที่เราหลายคนคาดไม่ถึงว่า จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ด้วยเหรอ ถ้าอ่านจนจบอาจจะมีอาการอึ้งอยู่ไม่น้อย เฮ้ย!!เป็นไปได้เหรอ ไม่เชื่อลองมาดูของ 13 สิ่งของใช้ใกล้ตัวที่สกปรกที่สุดจนคนใช้อย่างเราคาดไม่ถึงกันค่ะ
1. โทรศัพท์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต

หลายคนอาจเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว มีการวิจัยพบว่าบนจอโทรศัพท์
สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตมีเชื้อโรคสะสมมากกว่าโถส้วมถึง 20 เท่า !
โดยเฉพาะเชื้อโรค E. coli และ Staphyloccocus aureus ซึ่งเป็นสาเหตุ
ของโรคผิวหนังต่าง ๆ โรคปอดอักเสบ และการติดเชื้อในกระแสเลือด
เชื้อโรคเหล่านี้ถูกนำมาติดโดยการใช้นิ้วสัมผัสบนจอโทรศัพท์โดยไม่ได้ล้างก่อนซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รักษาสุขอนามัยถึงขนาดล้างมือบ่อย ๆ
และไม่ยอมทำความสะอาดหน้าจอบ่อย ๆ
ทำให้เชื้อโรคสะสมอยู่บนจอโทรศัพท์ ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว ฉะนั้นเราควรทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตด้วยน้ำยาทำความสะอาดจอทัชสกรีนโดยเฉพาะอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และล้างมือทุกครั้งก่อนและหลังใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต เพราะเป็นการยั้บยั้งเชื้อโรคได้ดีที่สุด นอกจากนี้ไม่ควรใช้โทรศัพท์ร่วมกับใครเพื่อป้องกันเชื้อโรคติดต่ออีกด้วย
2. คีย์บอร์ด เม้าส์คอมพิวเตอร์

บางครั้งสิ่งที่เราละเลยที่จะทำความสะอาดอย่างคีย์บอร์ดและเม้าส์คอมพิวเตอร์เพียงเพราะคิดว่ามันไม่ได้สกปรกซักเท่าไหร่ นี่ล่ะ คือแหล่งสะสมเชื้อโรคตัวฉกาจเลย ไม่ใช่เพียงแค่เจ้าปุ่มเล็ก ๆ บนคีย์บอร์ด หรือปุ่มบนเม้าส์เพียงเท่านั้นที่มีเชื้อโรคสกปรกสะสมอยู่ แต่บรรดาตามซอกเล็กๆ หรือร่องของคีย์บอร์ดก็เป็นแหล่งกักเก็บฝุ่นและเชื้คโรคที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ อันที่จริงการรักษาความสะอาดอุปกรณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และควรแกะคีย์บอร์ดออกมาทำความสะอาดด้วยอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดการสะสมของเจ้าเชื้อโรคตัวฉกาจได้แล้ว
3. รีโมท
เราหยิบจับรีโมทกันอยู่บ่อย ๆ แต่หารู้ไม่ว่ามันคือแหล่งสะสมเชื้อโรคเช่นกัน เพราะน้อยคนจะนึกถึงว่ารีโมทเป็นสิ่งที่ควรทำความสะอาดด้วยเช่นกัน ทำให้บรรดาเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มาจากสัมผัสโดยตรงกับมือของเราซึ่งยังไม่ผ่านการล้างทำความสะอาดตามสุขอนามัยที่ถูกต้อง สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของรีโมท การทำความสะอาดรีโมทก็ไม่ยาก เพียงแค่ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดทำความสะอาดบ่อย ๆ และควรล้างมือก่อนและหลังจับรีโมทเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
4. ผ้าเช็ดตัว

ผ้าเช็ดตัวเป็นสิ่งที่ไม่ควรใช้ร่วมกัน เพราะในผ้าเช็ดตัวนั้นมีเชื้อโรค Staphylococus ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังซุกซ่อนอยู่ ลองคิดดูว่านอกจากเชื้อโรคแล้วยังมีเซลล์ผิวหนังเก่าที่ต้องมีการผลัดเซลล์ผิว เมื่ออาบน้ำแล้วใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดทุกๆวันหลังอาบน้ำจะเกิดการสะสมของเซลล์ผิวเก่าเราทับถมกันมากขนาดไหน ฟังแล้วน่าขนลุกขึ้นรึยังคะนอกจากนี้หากปล่อยให้ผ้าเช็ดตัวชื้นเป็นเวลานานก็จะทำให้เกิดเชื้อราอีกด้วยทางที่ดีเราควรเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อสุขอนามัยที่ดี และควรนำผ้าเช็ดตัวไปตากในที่แห้งทุกครั้งหลังจากใช้ เพื่อให้ไม่เกิดเชื้อรา
5. แปรงสีฟัน
แปรงสีฟันเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดเพราะเราต้องเอามันเข้าปากอยู่เช้าเย็น ดังนั้นต้องควรรักษาความสะอาดอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้ว่าเราจะทำความสะอาดอย่างไรแต่ผลวิจัยก็เคยพบว่า ในแปรงสีฟันก็ยังมีเชื้อจุลินทรีย์อย่างน้อย 10 ล้านตัว!!! ยิ่งถ้าวางอยู่ใกล้บริเวณชักโครกก็ยิ่งสกปรกขึ้นอีก นอกจากนี้ยังมีเชื้อโรคที่ติดมาจากน้ำลายและเสมหะของผู้ใช้อีกด้วย ดังนั้น นอกจากทำความสะอาดแปรงสีฟันให้สะอาดทุกครั้งที่ใช้แล้ว เราควรทำความสะอาดที่เก็บแปรงสีฟันให้สะอาดอยู่เสมอ และควรเปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุก 3 เดือน เพื่อสุขอนามัยของช่องปากและสุขภาพของตัวเราเอง
6. สวิตช์ไฟ
สวิตช์ไฟเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่เราต้องใช้อยู่ทุกวันแต่ก็ละเลย จากการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่า บนสวิตช์ไฟมีเชื้อแบคทีเรียถึง 217 ตัวต่อตารางนิ้ว โดยเฉพาะสวิตช์ไฟห้องน้ำนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่มากกว่าหลายเท่าตัว ทำให้เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคชั้นดีไปสู่บุคคลอื่นๆ จากการสัมผัสอีกด้วย เมื่อพูดถึงสวิตซ์ไฟก็ให้เลยไปนึกถึงปุ่มกดลิฟต์ที่หลายๆคนก็คงนึกไม่ถึงเช่นกัน โดยปกติลิฟต์จะมีในตึกอาคารสูงๆ เท่ากับเป็นแหล่งที่ผู้คนพลุกพล่านจะขึ้นลงทีก็ต้องใช้นิ้วเรากดทีไม่ต่างกับสวิตซ์ไฟ ดังนั้นหลังจากออกจากลิฟต์แนะนำให้ควรล้างมือทุกครั้งจะดีต่อสุขอนามัยมากกว่านะคะเพราะเราไม่รู้เลยว่า ปุ่มกดลิฟต์ที่เรากดๆ จิ้มๆ กันนั้นทางอาคารได้มีการเช็ดล้างฆ่าเชื้อกันมากน้อยแค่ไหน
รู้แบบนี้แล้ว อย่าละเลยทำความสะอาดสวิตช์ไฟเด็ดขาด เพียงใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะช่วยทำให้สวิตช์ไฟของเราสะอาดและปราศจากเชื้อโรคค่ะ
7. เงิน

“เงิน” ชื่อนี้น่าฟังยิ่งนัก ยิ่งเป็นเงินของเราแล้วยิ่งฟังดูไพเราะเพราะเสียนี่กระไร แต่ใครจะรู้ว่า เงินนี้ ไม่ว่าจะเป็นธนบัตรหรือเหรียญต่างก็เต็มไปด้วยเชื้อโรคที่ส่งผ่านกันมามือต่อมือ ซึ่งเป็นแหล่งเชื้อโรคที่ผู้คนละเลยมากที่สุด โดยผลการศึกษาจากคณะนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ระบุว่า บนธนบัตร 1 ใบ จะมีเชื้อแบคทีเรียสะสมโดยเฉลี่ย 26,000 ตัว ฟังแล้วน่าตกใจมิใช่น้อย ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้มีผลอันตรายกับผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำทั้งนี้ แม้เราจะไม่สามารถทำความสะอาดธนบัตรหรือเหรียญที่รับมาได้ แต่การรักษาความสะอาดที่ดีที่สุดคือการล้างมือทุกครั้งที่จับหรือสัมผัสกับเงิน เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคเหล่านั้นค่ะ
8. กระเป๋าสะพาย เป้ กระเป๋าสตางค์
เราใช้กระเป๋าชนิดต่าง ๆ ในการเก็บข้าวของ แต่หารู้ไม่ว่าภายในกระเป๋าคือแหล่งกักเก็บเชื้อโรคที่เราคาดไม่ถึงเชียวล่ะ มีการวิจัยพบว่าบริเวณก้นกระเป๋านั้นเต็มไปด้วยเชื้อโรคมากกว่าหมื่นตัว นอกจากนี้กระเป๋าสตางค์ก็เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่อันตรายไม่แพ้กัน ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้มาจากธนบัตรและเหรียญนั่นเอง เชื้อโรคส่วนใหญ่ที่พบล้วนเป็นอันตราย ได้แก่ Staphylococcus สาเหตุของทำให้เกิดตาแดง นอกจากนี้ยังมีเชื้อ Salmonella และ E.coli ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ และท้องเสียอีกด้วย

วิธีการรักษาความสะอาดก็ไม่ยาก เพียงนำกระเป๋าไปตากแดด
เพื่อฆ่าเชื้อโรคและหมั่นทำความสะอาดกระเป๋าบ่อย ๆ
ด้วยทิชชู่เปียกที่มีสารเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยง
การนำกระเป๋าไปวางในที่ที่สกปรกด้วย
9. เครื่องปรับอากาศ
ใครว่าเครื่องปรับอากาศที่ใช้กันอยู่เป็นประจำนั้นไม่มีเชื้อโรค มันคือแหล่งกักเก็บและแพร่เชื้อโรคชั้นดีเลยต่างหากล่ะ เพราะเชื้อโรคที่อยู่ในอากาศนั้นจะถูกดักเอาด้วยแผ่นกรองอากาศ แต่บางครั้งเราก็ลืมที่จะนำมันออกมาทำความสะอาดจนแผ่นกรองอากาศเหล่านั้นสกปรกทำให้เชื้อโรคเหล่านั้นแพร่กระจายออกมา ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภัยต่าง ๆ เช่น ภูมิแพ้ ผื่นผิวหนังอักเสบ หืดหอบ ปอดบวมจากเชื้อลีเจียนแนร์ วัณโรค สุกใส งูสวัด หัดเยอรมัน และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ เอาละสิงานนี้ เวลาอากาศร้อนๆ จะวิ่งเข้าหาแอร์ฉ่ำๆ คงมีคิดกันบ้างละ หากจะให้ดีเราควรหมั่นทำความสะอาดภายในบริเวณเครื่องปรับอากาศอยู่เสมอเพียงเรานำแผ่นกรองอากาศออกมาทำความสะอาดเดือนละครั้ง และควรจะล้างแอร์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เท่านี้ก็อุ่นใจขึ้นมาบ้าง
10. หมอน – เตียงนอน
สองสิ่งนี้ใครจะคิดละ ในเมื่อก่อนจะเข้านอนก็อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายมาแล้วก่อนเข้านอนทุก ๆ คืนนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรก เพราะในทุกคืนที่เรานอนหลับนั้นผิวของเราก็จะผลัดเซลล์ที่ตายออก ซึ่งตกอยู่บนเตียงนอนและหมอน นอกจากนี้ยังมีบรรดาเศษสิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มาจากกิจกรรมที่เราทำบนเตียงนอน ไม่ว่าจะเป็นการนอนโดยไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า การนำของมาวางไว้ หรือแม้แต่การนำอาหารขึ้นมากินบนเตียงนอน และเมื่อเรานอนในเวลากลางคืนก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เชื้อโรคเหล่านั้นจะเข้าสู่ร่างกายของเรา

อย่างไรก็ตาม แสงแดดและน้ำร้อนสามารถทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคที่อยู่บนหมอนและเตียงนอนได้ เพียงนำปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนมาซักด้วยน้ำร้อนสัปดาห์ละครั้ง และหมั่นนำเอาหมอนและเตียงนอนมาตากแดดบ่อย ๆ เท่านี้ก็เป็นการกำจัดเชื้อโรคและเศษสิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้ค่ะ
11. ฝักบัว
ฝักบัวเป็นแหล่งสะสมเชื้อราและแบคทีเรียที่เราละเลยทั้งที่ใช้อยู่ทุกวัน เพราะคงจะหาคนที่ทำความสะอาดฝักบัวทุกวัน หรือแม้แต่จะทำความสะอาดทุกสัปดาห์ก็ยังเป็นไปได้ยาก ซึ่งเชื้อโรคที่อยู่ในฝักบัวนั้นเป็นสาเหตุของโรคปอดอีกด้วยค่ะ
การทำความสะอาดฝักบัวในเบื้องต้นคือการนำน้ำส้มสายชูหรือแอมโมเนียเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และหมั่นถอดฝักบัวออกมาทำความสะอาดด้วยแปรงสีฟันกับผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจาน หากเป็นฝักบัวที่ถอดออกไม่ได้ ก็นำถุงพลาสติกใส่น้ำส้มสายชูแล้วนำหัวฝักบัวแช่ในถุงข้ามคืนหลังจากนั้นค่อยทำความสะอาดอีกครั้งหนึ่งค่ะ
12. อ่างล้างจาน ฟองน้ำ
อ่างล้างจาน
เชื่อรึเปล่าคะว่า บริเวณอ่างล้างจานในบ้านเรา แต่ละตารางนิ้วนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 500,000 ตัวทั้งชนิดที่รุนแรงและไม่รุนแรง อย่างเช่น “เชื้อซัลโมเนลล่า” ซึ่งเป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษหรืออุจจาระร่วง OMG!!! ตายแล้วน่ากลัวมากๆ หากนำไปใช้ล้างและขัดถูภาชนะต่าง ๆ คนเราก็มีสิทธิ์เอาเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ วิธีทำความสะอาดขจัดคราบที่คู่ควรกับตัวเลขห้าแสนนี้ ก็คือ ใช้โซดาไฟหรือน้ำส้มสายชูราดทำความสะอาดมันซะ แล้วตามด้วยน้ำเปล่าตามไปอีกที หรือใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับล้างอ่างล้างจานที่มีสารกำจัดเชื้อแบคทีเรียล้าง อ่างล้างจานอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เท่านี้ก็ช่วยจัดการกับเชื้อโรคได้แล้วส่วนนึง
ฟองน้ำล้างจาน
ด้วยวัสดุและรูป ลักษณ์ของมันที่เต็มไปด้วยรูพรุนที่สามารถให้น้ำ อากาศ ออกซิเจน เศษอาหารเข้าไปอาศัยอยู่ จึงเป็นแหล่งชุมชนแออัดของเหล่าเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี แล้วคิดดูสิคะว่า ฟองน้ำที่เราใช้ล้างจานอยู่ที่บ้านทุกวันนั้นจะสกปรกแค่ไหน อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ เราสามารถทำความสะอาดฟองน้ำให้ปราศจากเชื้อโรคได้โดยวิธีง่ายๆ คือ เอาไปต้มหรือให้ความร้อนผ่านไมโครเวฟซัก 60 วินาที หรือนำฟองน้ำที่ใช้สำหรับล้างจานไปตามแดดอย่างน้อย 2 -3 ชั่วโมงเพื่อให้แสงแดดช่วยทำลายกรดและเชื้อแบคทีเรียในฟองน้ำแค่นี้ก็จัดการกับเชื้อโรคตัวร้ายได้แล้วล่ะ
13. ตู้เย็น
ใครจะคิดว่าที่ ที่เราใช้เก็บอาหาร กับข้าวที่เราไว้ทานอย่างตู้เย็นจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่างๆ ด้วย เพราะเชื้อโรคเป็นจำนวนเติบโตได้ดีในอากาศเย็น ทำให้เชื้อโรคที่ติดมากับภาชนะใส่อาหารหรืออาหารสดต่าง ๆ สามารถเติบโตและแพร่กระจายอยู่ในตู้เย็น โดยเฉพาะเจ้าแบคทีเรียที่ชื่อ ลิสเทอเรีย (Listeria) ซึ่งหากเข้าสู่ร่างกายอาจทำให้เกิดอาการหนาวสั่น ปวดท้อง หรือปวดศีรษะได้ ดังนั้นเราจึงควรหมั่นเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และควรเช็ดทำความสะอาดตู้เย็นด้วยน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อเดือนละครั้งอีกด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเราจะเข้าใจว่ามีเพียงวิธีการเดียวที่จะเป็น สิ่งที่ป้องกันเชื้อโรคต่างๆ รอบตัวได้นั่นก็คือการรักษาความสะอาดและสุขอนามัยของตนเองรวมทั้งสิ่งของ สถานที่ต่างๆ ใกล้ตัวอยู่เสมอ ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะหลีกไกลจากการเจ็บป่วย เริ่มต้นง่าย ๆ เพียงแค่ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสกับสิ่งสกปรก เพียงแค่นั้นเราก็จะมีสุขภาพที่ดีได้
ข้อมูลจาก : www.kaijeaw.com, health.kapook.com, www.dek-d.com, www.manager.co.th,
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
สารพัดประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวเพื่อสุขภาพผิวสวย

น้ำมันมะพร้าวบำรุงผิวพรรณ
มะพร้าวเป็นไม้ยืนต้นที่อยู่คู่คนไทยมานาน และถือเป็นพืชที่นำมาใช้ประโยชน์ได้เกือบทุกส่วน วันนี้ ELVIRA จะแนะนำส่วนที่เป็นน้ำมันจากลูกมะพร้าวซึ่งจริงๆแล้วมีประโยชน์หลายด้านมากแต่วันนี้เราจะมาดูประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวในด้านสุขภาพและความงามกัน ปัจจุบันนี้ “น้ำมันมะพร้าว”ถูกนำมาใช้ด้านความสวยความงามกันอย่างแพร่หลาย มาดูกันเลย
บำรุงผิวพรรณ

น้ำมันมะพร้าวมีสรรพคุณโดดเด่นในการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ด้วยคุณสมบัติเด่นคือ ปกป้องผิวพรรณจากแสงแดด ลม ฝุ่นละออง และอุดมด้วยสารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงและซ่อมแซมเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ผิวหนังให้แข็งแรงกลับมามีชีวิตชีวา เช่น วิตามินอี และมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้น ทั้งเก็บรักษาความชุ่มชื้นในชั้นผิวหนังเอาไว้ ทำให้เซลล์ผิวเต่งตึง ช่วยลดริ้วรอยที่มักเป็นปัญหาที่น่ากังวลใจของผู้ที่มีริ้วรอยก่อนวัย และผู้สูงวัยอย่างได้ผล ในสมัยโบราณนับว่าเป็นเคล็ดลับในการดูแลผิวที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักใช้น้ำมันมะพร้าวทาหน้าเพื่อใช้บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสไม่แห้งกร้าน เพื่อลดรอยเหี่ยวย่น แนะนำว่าหากจะใช้ทาให้ทาเฉพาะตอนกลางคืนหรือช่วงก่อนเข้านอน
นอกจากบำรุงผิวพรรณแล้วยังแก้ปัญหาส้นเท้าแตกด้วยการทาน้ำมันมะพร้าว และนวดคลึงทุกวันก่อนนอนติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อหายแล้วให้ใช้ต่อไปเรื่อย ๆ รอยแตกจะไม่กลับมากวนใจเราอีก
รักษาสิว
น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริก (lauric acid) ช่วยขจัดเชื้อแบคทีเรีย บนใบหน้าป้องกันปัญหาใหญ่อย่างสิวเรื้อรัง ลดการอักเสบของสิว นอกจากนี้ยังมีวิตามิน E และวิตามิน K ช่วยลดรอยแผลเป็นหลังเกิดสิว น้ำมันมะพร้าวยังเหมาะกับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย สามารถใช้ได้ทุกวัน
นอกจากรักษาสิวแล้วยังมีผลการศึกษาอีกมากมายพบว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น โรคเรื้อน โรคสะเก็ดเงิน และหากใช้เป็นประจำน้ำมันมะพร้าวยังช่วยสมานแผลต่างๆ ได้ด้วย
บรรเทาผิวหน้าลอกแห้ง
น้ำมันมะพร้าวใช้ทาช่วยแก้อาการผิวแห้ง ผิวแตก ผิวลอก ผิวเป็นขุยได้ สาวๆ หลายคนมีปัญหาผิวหน้าลอก แห้ง ทาแป้งหรือเครื่องสำอางอยู่ไม่ทนและครีมบำรุงผิวไม่ซึมสู่ผิวหนัง สาเหตุเกิดจากผิวหนังผลัดเซลล์ผิวได้ไม่ดี หรือผิวขาดน้ำ น้ำมันมะพร้าว ช่วยได้โดย ทาน้ำมันมะพร้าวทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 10-30 นาที แล้วล้างออก ส่วนคนที่ผิวหน้าแห้งมากอาจใช้น้ำมันมะพร้าวทาแทนครีมบำรุงประเภทมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับกลางคืนได้เลย
บำรุงผิวหน้า
สารอนุมูลอิสระ เป็นตัวการอันหนึ่งของการเกิดฝ้า และ กระ วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะทำหน้าที่ต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ป้องกันรอยหมองคล้ำ ตามปกติผิวหนังจะสูญเสียความชุ่มชื้น เพราะถูกแดดและลม
น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็นสารรักษาความชุ่มชื้น รักษาอาการผิวแห้ง แตก ลอก เป็นขุย ลดอาการผื่นแพ้ แสบคันตามผิวหนัง จึงช่วยให้ผิวนวลเนียน อีกทั้งช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวทาแก้ผิวไหม้แดด อาการแสบร้อนจะบรรเทาลง

น้ำมันมะพร้าวคือสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ นำสำลีชุบน้ำอุ่นแล้วบีบน้ำออก หยดน้ำมันมะพร้าว 2-3 หยดลงบนสำลีทาให้ทั่วใบหน้า สามารถทิ้งไว้ได้โดยไม่ต้องล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มไม่แห้งกร้าน รู้สึกว่าผิวหน้าละเอียดขึ้น หน้าเนียนขึ้น รอยด่างดำจากสิวจางลงมากอย่างไม่น่าเชื่อ
ใช้ทาหน้าบางๆ ก่อนนอนแทนครีมบำรุงผิว แนะนำว่าต้องเป็นน้ำมันมะพร้าวแบบสกัดเย็น เพราะน้ำมันมะพร้าวที่ผ่านความร้อนจะทำให้วิตามิน E สลายไป ไม่เหมือนการสกัดเย็นที่ยังได้คุณค่าของน้ำมันมะพร้าวครบ
นอกจากจะใช้ทาบำรุงผิวหน้าแล้ว ผิวกายก็ควรใช้ร่วมด้วย เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดเมื่อย ปวดข้อต่างๆ ใช้เป็นประจำทุกวัน อุดมด้วยวิตามิน E ช่วยปกป้องรังสี UV
สมานผิวป้องกันหน้าท้องแตกลาย
น้ำมันมะพร้าวช่วยเร่งฟื้นฟูผิว โดยเฉพาะคุณแม่ที่เริ่มตั้งครรภ์ หากใช้ทาก่อนหน้าท้องเริ่มขยาย จะช่วยป้องกันการแตกลายของผิวที่ค่อยๆ ยืดขยายตัวโดยใช้น้ำมันมะพร้าวนวดผิวบริเวณที่กำลังขยายเป็นประจำทุกเช้า-เย็น จะช่วยทำให้ผิวบริเวณนี้มีความชุ่มชื้นไม่แห้งแตกลายได้
รอยคล้ำใต้ดวงตา
ผิวบริเวณใต้ดวงตานั้นมีความบอบบางมาก สามารถเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ถุงใต้ตา หรือรอยคล้ำใต้ตาได้ง่าย น้ำมันมะพร้าวก็มีคุณสมบัติบำรุงผิวรอบดวงตาได้เหมือนกับอายครีม จะทำให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มและละเอียดขึ้น ขนตายาวขึ้นอีกด้วย
เช็ดเครื่องสำอาง สะอาดหมดจด
ใช้น้ำมันมะพร้าวหยดบนสำลีพอประมาณแล้วเช็ดให้ทั่วใบหน้า สามารถใช้เช็ดเครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตา และริมฝีปากหมดเกลี้ยง สำหรับผู้ที่แต่งหน้าสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเช็ดทำความสะอาดได้ 2 รอบเพื่อความสะอาดอย่างหมดจด เมื่อเช็ดด้วยน้ำมันมะพร้าวทั่วทั้งใบหน้าแล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที คราบเครื่องสำอางจะหลุดออกหมด ตามด้วยล้างออกด้วยสบู่ หลังจากนั้นซับหน้าให้แห้ง
น้ำมันมะพร้าวซึ่งมีโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถแทรกซึมทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก ช่วยลดการเกิดสิว ฝ้า และการสะสมของสารเคมีจากเครื่องสำอาง ช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับ เต่งตึง ผิวหน้าเนียนใส และช่วยขจัดสิ่งอุดตันที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว อย่างได้ผล
อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันมะพร้าวบำรุงสุขภาพนั้น หากต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ก็ควรดูตามความเหมาะสมของสุขภาพเราด้วย เพราะถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ยังเป็นน้ำมันอยู่ดี หากร่างกายได้รับในปริมาณมาก ผลลัพธ์ก็อาจตรงกันข้ามก็ได้
ข้อมูลจาก : www.medthai.com, www.health.haijai.com, www.greenshopcafe.com, health.kapook.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
5 ผลไม้บำรุงเลือดเพื่อสุขภาพผิวสวย

5 ผลไม้บำรุงเลือดเพื่อสุขภาพผิวสวย
ในผลไม้ที่เรารับประทานอยู่ทุกวันเป็นประจำจริงๆแล้วมี ธาตุ และสารอาหารหลัก เช่น ธาตุเหล็ก โปรตีน และกรดอะมิโนต่างๆ ซึ่งไม่ได้มีแค่ให้ความอร่อย หรือให้แค่วิตามินและดูแลผิวพรรณให้ดูสวยสุขภาพดีเท่านั้นนะแต่มีดีกว่านั้น เพราะว่าผลไม้ที่มีอยู่หลากหลายชนิดยังช่วยในการบำรุงเลือดได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยบำรุงเนื้อเยื้อต่างๆให้แข็งแรงอีกด้วยในบทความนี้ ELVIRA จะพามารู้จักประโยชน์ของผลไม้ที่เกี่ยวกับเฮโมโกลบิน อันจะส่งผลดีต่อเชลล์เม็ดเลือดแดงของเรา เป็นปัจจัยต้นๆที่ทำให้ ผิวของเราสดใส อยู่ตลอดเวลา ตามมาอ่านเรื่องน่ารู้ของบรรดาเหล่าผลไม้ที่มีผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือดและช่วยบำรุงเลือดและสร้างสุขภาพให้ดีขึ้นกันค่ะ
1. แตงโม

อากาศร้อนๆทีไรให้คิดถึง ผลไม้ ที่มีเนื้อสีแดงๆ ฉ่ำน้ำนี้ทุกที ใครจะรู้ว่าในแตงโมมีประโยชน์ต่อกล้ามเนื้อหัวใจคนเรา จากผลการวิจัยของมหาลัยชื่อดังของสหรัฐอเมริกาพบว่า หากเรารับประทานแตงโมเพียงครึ่งผล ต่อวัน จะเป็นผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือด เพราะแตงโมมีกรดอมีโนอาร์จินีน (Arginine) ที่ร่างกายไนตริกออกไซด์ (Nitric oxide) เพื่อให้เลือดมีคุณภาพมากขึ้นถึง 22 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีผลป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และก็ป้องกันภาวะหลอดเลือดแข็งตัว พอรู้แบบนี้แล้วใครที่ไม่ชอบทานแตงโม คงต้องหันมาทานแตงโมแล้วละงานนี้
2. แก้วมังกร

แก้วมังกรนั้นอุดมไปด้วยโปรตีน จึงทำให้ผู้ที่รับประทานแก้วมังกรอยู่เป็นประจำมีผิวที่ไร้ริ้วรอย ดูเรียบเนียน เต่งตึง จากผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรส่วนเนื้อสีแดงนั้นมีผลดีต่อระบบไหลเวียนของเลือด แถมยังมีธาตุเหล็กในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเชลล์เม็ดเลือดอีกด้วย นอกจากนั้นไฟเบอร์ที่มีอยู่ในแก้วมังกรนั้นยังช่วยฟื้นฟูและสร้างความแข็งแรงให้กับบริเวณช่องคลอด รวมไปถึงบรรเทาอาการตกขาวของผู้หญิงได้อีกด้วย
3. กล้วย

กล้วยอีกหนึ่งผลไม้ที่มีสารพัดประโยชน์ ในกล้วยนั้นมีแมกนีเซียมเป็นจำนวนมาก นอกจากช่วยให้อิ่มท้อง และช่วยเรื่องขับถ่ายแล้ว ยังช่วยบำรุงผิวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยจากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี นอกจากประโยชน์ที่กล่าวมาแล้วกล้วยยังเป็นผลไม้หาซื้อรับประทานได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไปและราคาไม่แพงอีกด้วย
4. สตรอเบอร์รี่

สตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้ของโปรดของใครหลายคนมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ซึ่งรสชาติเปรี้ยวที่ว่านั้นก็มีคุณสมบัติของวิตามินC ที่ช่วยในการบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดงนั่นเอง รวมถึงตัวเมล็ดเล็กๆ ในผลสตรอเบอร์รี่ ยังช่วยในการลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสียอีกด้วย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่าอาสาสมัครผู้บริโภคสตรอเบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน ผลการตรวจเลือดของพวกเขาพบว่ามีเชลล์เม็ดเลือดแดงอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติมาก จึงส่งผลให้พวกเขาเหล่านั้นมีผิวพรรณภายนอกที่สดใส ดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น ดีขนาดนี้ใครจะอดใจไหว
5. ทับทิม

ทับทิมเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติหลากหลาย หนึ่งในประโยชน์ที่แสนดีของทับทิมคือช่วยรักษาอาการของผู้ป่วยเบาหวานจากผลการวิจัยจากมหาลัยชื่อดังของสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานทับทิมเป็นประจำทำให้หายจากโรคเบาหวานได้เพราะ ในทับทิมมีคุณสมบัติช่วยกักเก็บเชลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยลดระดับอินซูลินในกระแสเลือด สร้างระบบไหลเวียนโลหิตให้เป็นปกติ ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งขึ้นอีกด้วย โดยทดลองจากผู้ป่วยโรคเบาหวาน 10 คนให้ดื่มน้ำทับทิมวันละ 1 แก้ว เป็นระยะเวลา 3 เดือน เห็นผลว่ามีระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และมีอาการอ่อนเพลีย ผมร่วง น้อยลงมาก แถมยังมีผิวพรรณที่ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย
ประโยชน์ดีแบบนี้ก็ต้องหมั่นทานกันเป็นประจำนะคะ นอกจากจะเสริมสร้างสุขภาพดีๆ แล้วยังดีต่อระบบขับถ่ายและผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นอีกด้วย ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นนะที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิตเลือดได้อย่างเป็นปกติยังมีวิธีที่ง่ายๆ อีกที่จะช่วยบำรุงเลือดคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้แล้ว
ข้อมูลจาก : www.tescolotus.com, health.kapook.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
TIPS & TRICK
ออฟฟิศซินโดรม โรคใกล้ตัว น่ากลัวกว่าที่คิด!

ออฟฟิศซินโดรม
คุ้นๆ ชื่อนี้กันไหม ในยุคที่เราใช้เวลานั่งก้มหน้าเคาะคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน และทำทุกๆ วัน หรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยท่าทางซ้ำๆ จนอาจส่งผลให้เกิดโรคและอาการผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ระบบการย่อยอาหารและการดูดซึม ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบฮอร์โมน นัยน์ตาและการมองเห็น ลองมาสังเกตตัวเองแบบง่ายๆ ว่าเรากำลังเป็น “ออฟฟิศซินโดรม” อยู่หรือไม่

1.อาการปวดตึงที่คอ บ่า หลังและไหล่
โดยเฉพาะคนที่ทำงานในออฟฟิศอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์มากกว่า 6 ชั่วโมง ต่อวัน เนื่องจากลักษณะงานที่ต้องนั่งท่าซ้ำๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ท่าทางในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งหลังค่อม ท่าก้มหรือเงยคอมากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายต้องแบกรับความตึงเครียด อาการปวดหลังจึงมาเยือน หากปล่อยไว้นานๆ โดยไม่ได้รับการบำบัดแก้ไข อาจทำให้อาการปวดตึงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นลามไปทั่วทั้งขา บางรายปวดร้าวไปที่เข่าและข้อเท้าก็มี ทั้งหมดนี้เป็นอาการล้าสะสมทำให้เกิดอาการปวดร้าวส่งผลให้เกิดอาการชาลงไปที่บริเวณเท้าและปลายนิ้วเท้าได้ ที่สำคัญคนที่นั่งทำงานนานๆ จนเกิดอาการเหน็บชาบ่อยๆ อย่าได้มองข้ามเด็ดขาด เพราะร่างกายเรากำลังประท้วง ควรลุกขึ้นมาเปลี่ยนท่าและเดินไปทำอย่างอื่นบ้าง เพราะการนั่งทำงานนานๆ ส่งผลต่อเส้นเลือดดำที่ถูกกดทับและทำให้เส้นเลือดไปไหลเวียนในร่างกายไม่ปกติ ถ้าเรามีอาการชาตามขา จนกล้ามเนื้อไร้เรี่ยวแรง อันตรายมากต้องรีบไปปรึกษาหมอและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตด่วนนะคะ

2.อาการยกแขนไม่ขึ้นและนิ้วล็อค
อาการนี้เกี่ยวเนื่องมาจากข้อแรก ซึ่งจะมีอาการปวดตึงกล้ามเนื้อตั้งแต่คอ บ่า จนถึงไหล่ และร้าวลงไปที่แขน จนเป็นเหตุให้ยกแขนไม่ขึ้น เนื่องจากว่ามีพังผืดมาเกาะที่บริเวณสะบักและหัวไหล่นั่นเอง และบางรายอาจมีอาการชาไปที่มือหรือนิ้วมือด้วยสำหรับใครที่จมอยู่กับการคลิกเม้าท์ และเกร็งมือใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างยาวนาน ไม่มีการเปลี่ยนอริยาบถ ทำให้เกิดการอักเสบของปลอกหุ้มเอ็นข้อมือ เส้นเอ็นนิ้วมือ กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทจนเกิดพังผืดยึดจับบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ปวดปลายประสาท นิ้วล็อค หรือข้อมือล็อคได้ใครที่มีอาการแบบนี้ควรบำบัดด้วยการไปให้แพทย์แผนไทยกดจุดเพื่อทำการสลายพังผืด หรือประคบร้อนเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนที่เป็นพังผืดแข็งตึงให้อ่อนตัวลงและคลายความปวดลง อาการก็จะดีขึ้น
3.อาการปวดศีรษะ
ในแต่ละวันคนทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่จะเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว จนทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ คนส่วนใหญ่จะแก้ไขด้วยการกินยาแก้ปวด บางรายอาจกินติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งอาการปวดศีรษะก็จะหายไปชั่วคราว แต่อาจกลับมาทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก ดังนั้น หากคุณมีอาการปวดศีรษะบ่อยๆ แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คและหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไร และรีบรักษาให้หายเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อความสุขในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้นอาการปวดหัวเรื้อรัง หรือ บางครั้งก็ปวดหัวไมเกรน เป็นเพราะเราเครียดจากการทำงาน และใช้สายตาจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาการปวดโดยทั่วไปที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากสาเหตุหลัก 3 ประการ คือ กระดูกและข้อ เส้นประสาท และกล้ามเนื้อ ซึ่งทำงานประสานกันอยู่
- อาการปวดที่เกิดจากกระดูกและข้อ เช่น ขยับแล้วมีเสียง กรอบแกรบ ขยับแล้วเจ็บเสียวแปลบๆ คอยื่นไปข้างหน้า หลังค่อม หลังทรุด กระดูกสันหลังคด กระดูกสันหลังแอ่นงอ
- อาการปวดที่เกิดจากเส้นประสาท เช่น กล้ามเนื้อไม่ค่อยมีแรง ชา กล้ามเนื้อกระตุก
- อาการปวดที่เกิดจากกล้ามเนื้อ เช่น ปวดเมื่อย อ่อนล้า เพลีย ตึง ยึด ปวดขึ้นไปที่ขมับ กล้ามเนื้ออักเสบ พังผืดสั่งสมบริเวณกล้ามเนื้อ รวมไปถึงอาการปวดกล้ามเนื้อต้นคอ ร้าวขึ้นไปบริเวณขมับ ปวดไปที่กระบอกตา ซึ่งเข้าใจผิดว่าเป็นไมเกรนนั่นเพราะ เรานั่งจมกับกองงาน กองเอกสาร และคอมพิวเตอร์ วันๆ นึง ไม่ยอมลุกไปไหน นั่งแช่นานมากกว่า 8 ชั่วโมง ร่างกายจึงประท้วงด้วยอาการปวดตึงที่ต้นคอ ปวดบ่า ปวดไหล่อยู่บ่อยๆ จนอาการหนักถึงขั้นเป็นพังผืดบ่าติด หรือปวดคอหนักมากจนหันคอไม่ได้
แนวทางการรักษา แบ่งออกเป็น
- การรักษาที่สาเหตุของโรค คือ การผ่าตัด และการไม่ผ่าตัด
- การรักษาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น การกินยา ฉีดยา ซึ่งคนไทยหลายคนคิดว่าเมื่อไม่มีอาการแล้ว แปลว่า “หาย” ในความเป็นจริงแล้ว การไม่มีอาการนั้น อาจจะไม่ได้หายจากอาการปวดอย่างถาวร
- การที่จะทำให้ “หาย” จากอาการปวดอย่างถาวรนั้น คือ การรักษาที่สาเหตุของปัญหา ให้สภาพของกระดูกและข้อ กล้ามเนื้อ และเส้นประสาท คืนสู่สภาวะปกติ และดีกว่าปกติ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กลับมาเกิดอาการปวดอีก วิธีการรักษาดังกล่าวเรียกว่า Active Therapy เป็นการรักษาในเชิงป้องกันที่สาเหตุ ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
เคล็ดลับการป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม
- 1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (Be Fit)
- 2. ระวังเรื่องของท่าทาง บุคลิกของตัวเอง อย่าไหล่ห่อ อย่านั่งหลังค่อม
- 3. วางแผนการเคลื่อนไหวบนโต๊ะทำงาน โดยการจัดโต๊ะทำงาน หรือพื้นที่ทำงานให้เหมาะสม ควรจัดวางของที่ต้องใช้ให้ใกล้ตัว ใกล้มือ จะได้ไม่ต้องเอี้ยวตัวอยู่บ่อยครั้ง และไม่ต้องก้มตัวขึ้นลง หันซ้ายหันขวา ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเคล็ดได้
- 5. เมื่อเกิดอาการปวดเมื่อย อย่าฝืนร่างกาย ให้เดินไปดื่มน้ำ ไปเข้าห้องน้ำ 3-5 นาที ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้แล้ว และเป็นการป้องกันปัญหาได้อีกด้วย
- 6. การระมัดระวังเรื่องความเครียด เพราะความเครียดทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี การรักษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมด้วยวิธีต่างๆ นั้นเป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุ เพื่อรักษาอาการกล้ามเนื้ออักเสบหรือรักษาพังผืดในกล้ามเนื้อ วิธีการที่ดีที่สุดที่จะป้องกันอาการจากออฟฟิศซินโดรมจำเป็นต้องทำร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การปรับอิริยาบถในการทำงานให้ถูกต้อง รวมถึงการเสริมสร้างสุขภาพกายและใจให้สมบูรณ์แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยลดการเกิดอาการบาดเจ็บต่างๆ ที่จะมาบั่นทอนคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างถาวร
ข้อมูลจาก https: CIMBThai , https://www.shawpat.or.th , www.bumrungrad.com , https://women.sanook.com
Cleaning, TIPS & TRICK
การทำความสะอาดหลังงานปาร์ตี้

การทำความสะอาดหลังงานปาร์ตี้
เชื่อแน่ว่า หลายๆ คนต้องกุมขมับหลังจากตื่นขึ้นมาเจอสภาพบ้านหลังงานปาร์ตี้ที่สนุกสุดเหวี่ยงเมื่อคืน แต่กำลังเป็นเรื่องหนักอกในการทำความสะอาด เสียนี่! วันนี้ ELVIRA มีเคล็ดลับการทำความสะอาดคราบต่างๆ หลังงานปาร์ตี้มาบอกเล่า แฟนๆ ที่ชอบปาร์ตี้อ่านเคล็ดลับนี้แล้วจะหมดความหนักอกหนักใจได้อย่างแน่นอนค่ะ

การขจัดคราบเขม่าบนผนังห้องครัว
ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำธรรมดาเพื่อกำจัดฝุ่นก่อน หลังจากนั้นผสมน้ำยาซักผ้าขาวประมาณ 2 ถ้วย น้ำอุ่น 1 ถัง และน้ำสบู่ประมาณ 6 ถ้วย ผสมให้เข้ากันแล้วใช้ผ้าชุบน้ำยาที่ผสมแล้วเช็ดผนังคราบเขม่าที่เลอะ คราบสกปรกก็จะหมดไป
การขจัดคราบน้ำมันบนเตาแก๊ส
ใช้น้ำต้มข้าวข้นๆ เช็ดบนเตาแก๊ส แล้วรอให้น้ำข้าวแห้งจับตัวเป็นแผ่นแล้วลอกออก คราบน้ำมันก็จะติดมากับแผ่นน้ำข้าวแห้ง หรือให้น้ำข้าวหรือน้ำต้มบะหมี่แบบเจือจางล้างเตาแก๊สก็สามารถกำจัดคราบน้ำมันบนเตาแก๊สได้
การขจัดคราบน้ำมันในห้องครัว

บริเวณที่เลอะน้ำมันมากให้ฉีดน้ำยาทำความสะอาดห้อง
แล้วให้ใช้กระดาษทิชชูปูทับ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
คราบน้ำมันส่วนใหญ่จะติดมากับกระดาษทิชชู
แล้วเช็ดซ้ำอีกครั้งด้วยทิชชูก็จะทำให้บริเวณนั้นสะอาด
การขจัดคราบเปื้อนจากซอส
คราบเปื้อนจากบรรดาซอสต่างๆ กำจัดได้ง่ายๆ ด้วยการแช่ผ้าลงในน้ำเย็นผสมสบู่ล้างมือ 1/2 ช้อนชา กับน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด ถ้ายังมีคราบหลงเหลืออยู่ให้ทำความสะอาดอีกครั้งด้วยน้ำยาขจัดคราบไคล แล้วซักทำความสะอาดอีกครั้งด้วยน้ำอุ่น จากนั้นเป่าให้แห้ง แต่ถ้าคราบยังฝังแน่นอยู่ ให้แช่ผ้าในน้ำยาซักผ้า 20 นาที จากนั้นก็ซักทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นอีกครั้ง อย่าใช้ความร้อนเช่น การ ใช้ไดร์เป่าแห้งเด็ดขาด หรือรีดในขณะที่คราบยังไม่หมดไป เพราะความร้อนเหล่านี้จะยิ่งทำให้คราบฝังแน่นขึ้นไปอีก
คุณสามารถแช่ผ้าที่เปื้อนซอสกับน้ำยาขจัดคราบไคลของ RIKA แล้วขยี้ผ้าบริเวณที่เปื้อนจนไม่เหลือคราบ แล้วจึงล้างน้ำสะอาด หากคราบยังออกไม่หมด แนะนำให้ใช้น้ำยาขจัดคราบไขมันของ RIKA ทำความสะอาดเฉพาะจุดที่เปื้อน เพียงเท่านี้ผ้าก็กลับมาสะอาดใหม่ใช้ได้เหมือนเดิมจ้า
การขจัดคราบไวน์แดงสุดหรู

คราบนี้บ่งบอกได้เลยว่าคุณมีฐานะมากเลยทีเดียว
แต่อาจจะเสียเซลฟ์กันบ้างถ้าคราบนี้เกิดขึ้นในเวลาสำคัญๆ
มาแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนกัน ด้วยการเปิดน้ำให้ไหลผ่านจุดที่มีคราบไวน์
จากนั้นใช้เกลือถูรอบๆ คราบ แล้วทิ้งไว้ 10 นาที ให้เกลือดูดคราบออก
ก่อนนำไปซักด้วยน้ำเย็นก็จะเห็นผลทันทีหรือจะใช้น้ำยาขจัดคราบไขมัน
ของ RIKA ทำความสะอาดเฉพาะจุดที่มีคราบไวน์แดง ก็เอาอยู่เช่นกัน
จุดรอยเปื้อนบนพรม
คุณแม่บ้านหลายท่านต้องกุมขมับ เพราะพรมสกปรกเป็นจุดเล็กๆ เต็มไปหมด ครั้นจะจ้างช่างมาซักก็ดูเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าอย่างนั้นมาลองสูตรแจ่มๆ ที่คุณไม่ต้องยกหูจ้างใครมาช่วย แค่ผสมน้ำส้มสายชู ¼ ถ้วยตวงกับน้ำเปล่า ¼ ถ้วยตวงขัดล้างตรงบริเวณที่มีรอยคราบ เพียงเท่านี้พรมก็กลับมาสะอาดเหมือนเดิมแล้วค่ะ
พื้นปาร์เก้
เป็นอีกวัสดุปูพื้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ก็ทำความสะอาดยากที่สุดเหมือนกัน เพราะถ้าไม่รู้หรือไม่ระวังแล้ว ตัวไม้จะสึก จะเป็นรอย กร่อนไปหมด สีซีดด่าง และไม่สวยเลย เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดคือการใช้เครื่องดูดฝุ่นหรือไม้กวาดกำจัดเอาเศษผงออกไปรอบนึงก่อน จากนั้นใช้ผ้าหมาดๆ เช็ดซ้ำอีกที แต่มีข้อควรระวังคือ ห้ามใช้ของที่มีฤทธิ์เป็นกรดเด็ดขาด เพราะจะกัดเนื้อไม้จนเสียได้
พื้นกระเบื้องหิน
วิธีทำความสะอาดแบบเบสิคที่สุดคือ ให้ไปซื้อน้ำยาสำหรับทำความสะอาดพื้นผิวจำพวกหิน หินห่อน หรือหินปูนโดยเฉพาะ นำมาละลายกับน้ำให้เจือจาง จากนั้นใช้ไม้ถูพื้นมาดูตามปกติ อย่างไรก็ตาม อย่าลืมเป็นอันขาดว่าไม่ควรใช้ของเหลวจำพวกกรด เพราะจะทำลายเนื้อหินและเกิดรอยด่างได้

สำหรับแฟนพันธุ์แท้ ของ ELVIRA ที่มีเครื่องทำความสะอาด
ระบบไอน้ำรุ่น C2 อยู่แล้ว ก็สามารถใช้เครื่องนี้ทำความสะอาดคราบเขม่า
บนผนังห้องครัว, คราบน้ำมันบนเตาแก๊ส, คราบรอยเปื้อนบนพรม,
คราบที่พื้นบ้านทั้งพื้นกระเบื้องหินรวมทั้งพื้นปาร์เก้
ก็สามารถทำความสะอาดได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้สารเคมีทั้งสะอาด
ปลอดภัย และสามารถทำได้ด้วยตัวเอง
แค่นี้ก็ทำให้ เรื่องยากๆ ของการ ทำความสะอาด ให้กลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นแล้ว
ลองทำความสะอาดตามทริคที่ว่านี้ดูสิคะ แล้วคุณจะรู้ว่าคราบที่หนักอกตอนเริ่มต้นจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน
ข้อมูลจาก : kapook.com, food.mthai.com, www.cleanipedia.com, www.iurban.in.th/review/elvirac2
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cooking, TIPS & TRICK
แกนสับปะรด ประโยชน์ดีๆ ที่ถูกมองข้าม

แกนสับปะรด ประโยชน์ดีๆ
ที่ถูกมองข้าม
คนส่วนใหญ่เวลาปอกสับปะรดก็มักจะหั่นเอาแต่เนื้อแล้วโยนเปลือกและแกนแข็งๆ
สีขาวๆ ทิ้งขยะไป โดยหารู้ไม่ว่าเรากำลังทิ้งของดีไปเสียแล้ว เพราะแกนสับปะรด
หรือไส้กลางแข็ง ๆ นี่แหละที่มีประโยชน์และสารอาหารมากกว่าที่คิด ELVIRA
เลยรีบหยิบเอาประโยชน์ของแกนสับปะรดมาบอกไว้ก่อน
ที่จะโยนทิ้งลงขยะเหมือนเคย
คุณประโยชน์จากแกนสับปะรด

สับปะรดมีถิ่นกำเนิดในพื้นที่เขตร้อนบริเวณ
ประเทศบราซิลถูกใช้เป็นพืชสมุนไพรกันอย่างแพร่หลาย
ในสับปะรดจะมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า บรอมีเลน (BROMELAIN)
มีสรรพคุณในการย่อยสลายโปรตีน จึงนิยมนำไปหมักกับเนื้อสัตว์ต่างๆ
เพื่อให้เนื้อนุ่มน่ากิน ตำราแพทย์แผนโบราณ
แนะนำให้กินสับปะรดหลังกินอาหารเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของกระเพาะ
ลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระเพาะ และไม่ทำให้แน่นท้องหลังกินอาหาร
- มีฤทธิ์ช่วยย่อยอาหาร ถ้ามื้อไหนทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์เข้าไปมากๆ จนจุกเสียด แน่นท้องให้ทานสับปะรดเข้าไปหลังรับประทานอาหารจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้
- สมานแผลและลดการอักเสบ ของกระเพาะอาหารและลำไส้เพราะเอนไซม์บรอมีเลนมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้ออ่อน ๆ คอยทำลายแบคทีเรียที่ไม่มีประโยชน์
- ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ
- ช่วยแก้ท้องผูกได้เพราะมีกากใยมาก แต่ก็ไม่ควรทานมากไป เพราะอาจจะทำให้ท้องเสีย
- มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา แก้นิ่ว
- ป้องกันการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด อัมพฤกษ์อัมพาตเพราะเอนไซม์บรอมีเลนจะไปช่วยลดการเกาะกันเป็นลิ่มเลือดของเกล็ดเลือด
- เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย ต่อต้านโรคมะเร็ง นั่นเพราะบรอมีเลนจะทำให้เม็ดเลือดขาวหลั่งสารไซโตไคน์ ที่ทำให้เม็ดเลือดขาวกำจัดเซลล์มะเร็งได้ ช่วยลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่
- กระตุ้นฮอร์โมนเพศชาย ช่วยเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรน ถือเป็นยาบำรุงกำลังชั้นดีให้คุณผู้ชาย
- บรรเทาโรคเกาต์ได้ โดยทานสับปะรด 1/4 ผล (ขนาดเล็ก) วันละ 2-3 ครั้ง หลังอาหาร 1 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อให้เอนไซม์บรอมีเลนช่วยต้านการอักเสบ ลดความเจ็บปวดจากการอักเสบ
- ลดอาการปวดข้อ ข้ออักเสบ หลังจากออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาหนัก ๆ
ข้อควรระวังในการกินสับปะรด
- ไม่ควรทานตอนท้องว่าง เพราะเป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์มาก มีรสเปรี้ยว ทานแล้วอาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร
- ไม่ควรทานสับปะรดดิบ เพราะมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง และก็ไม่ควรทานสับปะรดที่สุกเกินไป เพราะอาจเริ่มเน่า แล้วทำให้ท้องเสียได้
วิธีทานสับปะรดไม่ให้แสบลิ้น
หลายคนอาจจะกลัวว่าเวลาทานสับปะรดแล้วจะแสบลิ้นและปาก ซึ่งถ้าเรารู้จักทานอย่างถูกวิธีก็ไม่ต้องกลัวว่าจะแสบลิ้นตามมาร
โดยเวลาทานสับปะรดต้องทำแบบนี้
- ใช้มีดเฉือนเปลือกออกจนหมด
- จากนั้นใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียง
- ตัดเป็นชิ้น แล้วเอาเกลือทาให้ทั่ว หรือแช่ในน้ำเกลืออ่อน ๆ ประมาณ 2-3 นาที แล้วทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือจะช่วยทำให้เอนไซม์บรอมีเลนที่มีฤทธิ์เป็นกรด ปรับเปลี่ยนโครงสร้างไม่สามารถเกิดปฏิกิริยากับอวัยวะในปาก และยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid จึงไม่ทำให้เกิดอาการแพ้จนแสบลิ้น
เมื่อทราบประโยชน์ของแกนสับปะรดแล้ว คราวหน้าเวลาหั่นสับปะรดก็ควรหั่นเนื้อมาพร้อมกับแกนกลางด้วยจะดีกว่าทานแต่เนื้ออย่างเดียวนะคะ
หากใครอยากลองเปลี่ยนวิธีการทานสับปะรดจากหั่นเป็นชิ้นมาเป็นน้ำสับปะรดปั่นแทน ELVIRA เราก็มีเครื่องปั่นเอนกประสงค์ POWER BLENDER ที่ปั่นเนื้อสับปะรดได้อย่างละเอียด แบบไม่ต้องแยกกากทิ้งทำให้เรารับคุณค่าทางสารอาหารที่มีอยู่ในสับปะรดได้อย่างครบถ้วน
ข้อมูลจาก : คุณพรปวีณ์ บุญเรือง, www.medthai.com, www.share-si.com, www.health.kapook.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Elvira Power Blender-Rainbow(Soda)
เราสร้างสรรค์เครื่องปั่นคุณภาพเยี่ยม ให้กับคนรักสุขภาพตัวจริงELVIRA Blender Grab & Go - Strawberry
เครื่องปั่น ELVIRA รุ่น Grab & Go - สีชมพู
เครื่องปั่นอเนกประสงค์เป็นเครื่องปั่นเล็กที่มีความกระทัดรัด พกพาได้สะดวกพกติดตัวได้ ความละเอียดของอาหาร (ขึ้นอยู่กับการปั่นโดยเฉลี่ยต่อการปั่นจะใช้เวลาเพียง 30-35 วินาทีเท่านั้น)Elvira Power Blender-Rainbow(Grape)
เราสร้างสรรค์เครื่องปั่นคุณภาพเยี่ยม ให้กับคนรักสุขภาพตัวจริงElvira Power Blender-Rainbow(Banana)
เราสร้างสรรค์เครื่องปั่นคุณภาพเยี่ยม ให้กับคนรักสุขภาพตัวจริงCooking, TIPS & TRICK
5 อาหารที่ไม่ควรนำเข้าเตาไมโครเวฟ

5 อาหารที่ไม่ควรนำเข้าเตาไมโครเวฟ !
เตาไมโครเวฟกลายเป็นสิ่งจำเป็นในวิถีชีวิตที่รีบเร่งในปัจจุบัน เพราะความสะดวกสบายรวดเร็วทันใจในการอุ่นอาหารแต่มีอาหารบางชนิดที่ไม่เหมาะกับการอุ่นหรือปรุงด้วยไมโครเวฟด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและคุณค่าทางสารอาหารที่หายไป วันนี้ ELVIRA จึงคัดเอาอาหารที่เป็นอันดับต้นๆ ที่หลายๆ คนคงเคยเอาอาหารเหล่านี้เข้าไมโครเวฟกันบ้างละ
1. เนื้อสัตว์แช่แข็ง

การนำเอาเนื้อสัตว์แช่แข็งไปละลายในไมโครเวฟ เป็นการกระตุ้นให้เชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ในเนื้อสัตว์ เจริญเติบโตขึ้น ดังนั้นเมื่อละลายน้ำแข็งแล้วจึงควรทำให้หมดในครั้งเดียว ไม่ควรเก็บไว้ทำอาหารในครั้งต่อไป นอกจากนี้ผลการวิจัยจากญี่ปุ่นเผยว่า การนำเอาเนื้อสัตว์ไปทำอาหารในไมโครเวฟเกิน 6 นาที จะทำให้วิตามิน B-12 ในเนื้อสัตว์ลดลงไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว วิธีการที่ดีที่สุดในการละลายน้ำแข็งของเนื้อสัตว์แช่แข็งก่อนที่จะนำออกมาปรุงคือให้นำไปแช่น้ำหรือแช่ตู้เย็นช่องธรรมดาล่วงหน้า 1 คืนถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการละลายในไมโครเวฟ
2. ไข่ดิบทั้งใบ
บางคนอาจยังไม่เคยรู้ หากเรานำไข่ดิบเข้าไมโครเวฟ ไข่อาจระเบิดได้ เพราะภายในไข่มีน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อทำให้น้ำในไข่ร้อนด้วยคลื่นไมโครเวฟจะทำให้ของเหลวภายในไข่ร้อน สุก หรือเดือดระอุอยู่ภายในจนทำให้เกิดแรงดันภายในไข่ขึ้น และถ้าแรงดันมีมากๆ ก็จะดันจนเปลือกไข่แตก กลายเป็นไข่ระเบิดออกมา ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าไข่มีเปลือกแข็งและมีเยื่อหุ้มไข่ขาวที่เหนียว ทำให้สามารถทนรับแรงดันได้สูง ไมโครเวฟทำให้น้ำในไข่ร้อนจนกลายเป็นไอ เมื่อเรานำไข่ที่ผ่านความร้อนแล้วออกมาตอกข้างนอกหรือกะเทาะเปลือกไข่หรือเพียงแค่เปลือกไข่ถูกกระแทกเบาๆ แรงดันทั้งหมดก็จะพุ่งออกมาจากจุดที่ถูกกะเทาะนั้นทำให้เกิดระเบิดออกมาพร้อมกันในคราวเดียวได้ และอันตรายที่จะเกิดตามมาคือเนื้อไข่ร้อนๆ ก็จะพุ่งออกมา หากโดนหน้าตาก็อาจจะเกิดพุพองหรือเศษเปลือกไข่อาจจะกระเด็นเข้าตาได้

การลวกไข่หรือทำอาหารจากไข่ในไมโครเวฟให้ปลอดภัย ควรตอกไข่ออกจากเปลือกเสียก่อน แล้วใช้ส้อมหรือไม้จิ้มฟันเล็กๆ จิ้มไข่แดงให้แตกก่อนเข้าไมโครเวฟ หรือเปลี่ยนมาเป็นการต้มทั้งใบ โดยใส่ไข่ดิบลงในถ้วยที่เติมน้ำจนท่วมไข่ แล้วใส่เกลือลงไป 1 ช้อนชา เพื่อให้เกลือลดแรงดันในไข่ไม่ให้ระเบิดออกดีกว่าการนำไข่ทั้งฟองเข้าในไมโครเวฟ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อทั้งเครื่องไมโครเวฟและบุคคลที่ใช้งานด้วย
3. น้ำเปล่า
น้ำเปล่าดูเป็นอะไรที่ไม่น่าเกิดอันตราย แต่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรจะนำเข้าไมโครเวฟเสียเท่าไร ทั้งนี้ก็เพราะไมโครเวฟจะทำให้น้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้น ยิ่งถ้าให้ความร้อนมาก น้ำก็จะเปลี่ยนสถานะเป็นไอน้ำอย่างรวดเร็ว ซึ่งพร้อมที่จะพุ่งระเบิดขึ้นมาจากภาชนะได้ง่ายๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานอย่างยิ่ง
ทางที่ดี การอุ่นน้ำด้วยไมโครเวฟควรใช้ช้อน (ที่เข้าไมโครเวฟได้) หรือตะเกียบไม้ลงไปในแก้วด้วย เพื่อให้น้ำมีจุดเกาะและกลายเป็นไอโดยไม่ระเบิดออกมา หรือถ้าต้องการอุ่นน้ำให้ร้อนเพื่อชงกาแฟ ให้เทกาแฟหรือนม ผสมลงไปกับน้ำพร้อมกันเลยเพื่อลดการเกิดแรงดันสูงของน้ำค่ะ
4. ผัก
การใช้ความร้อนในการทำอาหารประเภทผัก ไม่ว่าจะเป็น นึ่ง หุง ต้ม ผัด หรือทอด ต่างก็ทำให้สูญเสียสารอาหารในผักทั้งสิ้น ทั้งนี้อัตราการสูญเสียก็แล้วแต่วิธีการที่แตกต่างกันไป และจากผลการวิจัย การนำผักบล็อคโคลี่ไปใช้กับไมโครเวฟ ทำให้สูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักถึง 97% เลยทีเดียว

การใช้ความร้อนปรุงอาหารประเภทผักนั้น หากใช้ความร้อนสูงเป็นเวลานานๆ จะทำให้สารอาหารสำคัญๆในผักถูกความร้อนทำลาย ดังนั้นเพื่อคงคุณค่า สารอาหารในผักเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ควรปรุงด้วยเตาแก๊ส อุณหภูมิปานกลาง และไม่ปรุงจนสุกเกินไป
5. ขนมปัง
หลังจากที่คุณนำขนมปังเข้าไมโครเวฟเพียง 10 วินาที ขนมปังที่เคยนุ่มลิ้นจะกลายเป็นแข็งจนกินไม่ได้ นั้นเพราะความร้อนจากไมโครเวฟจะไปทำให้ขนมปังสูญเสียความชุ่มชื่น ซึ่งส่งผลให้ขนมปังแข็งกระด้างจนกินไม่ได้ หากต้องการอุ่นขนมปังให้ร้อนแนะนำให้ปิ้งในเครื่องปิ้งขนมปังจะดีกว่า
ไมโครเวฟอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงเวลาที่เร่งรีบ แต่การจะนำอาหารชนิดหรือประเภทไหนเข้าเตาไมโครเวฟนั้นควรให้ความใส่ใจในรายละเอียดมากพอสมควร เพื่อความปลอดภัยและเพื่อสุขอนามัยของตัวเราเองนะค่ะ


หากใครที่กังวลเรื่องคลื่นรังสีจากเตาไมโครเวฟ ELVIRA ก็มีทางเลือกสำหรับคนที่รักสุขภาพ คือ JET STEAMER เครื่องนึ่งแรงดันสูง ในการอุ่นอาหารให้ปลอดภัยและรวดเร็วไม่แพ้
เตาไมโครเวฟ ไม่ว่าจะใช้ตุ๋น อุ่น นึ่ง หุงข้าว ก็สามารถทำได้ในเครื่องเดียวประหยัดเวลา ประหยัดค่าไฟและใส่ใจสุขภาพได้ในเครื่องเดียว สนใจหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.elvira.co.th
ข้อมูลจาก : www.girlsfriendclub.com, www.undubzapp.com, www.สุขภาพน่ารู้.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai