Cooking, TIPS & TRICK
แกนสับปะรด ประโยชน์ดีๆ ที่ถูกมองข้าม
แกนสับปะรด ประโยชน์ดีๆ
ที่ถูกมองข้าม
คนส่วนใหญ่เวลาปอกสับปะรดก็มักจะหั่นเอาแต่เนื้อแล้วโยนเปลือกและแกนแข็งๆ
สีขาวๆ ทิ้งขยะไป โดยหารู้ไม่ว่าเรากำลังทิ้งของดีไปเสียแล้ว เพราะแกนสับปะรด
หรือไส้กลางแข็ง ๆ นี่แหละที่มีประโยชน์และสารอาหารมากกว่าที่คิด ELVIRA
เลยรีบหยิบเอาประโยชน์ของแกนสับปะรดมาบอกไว้ก่อน
ที่จะโยนทิ้งลงขยะเหมือนเคย
คุณประโยชน์จากแกนสับปะรด
สับปะรดมีถิ่นกำเนิดในพื้นที่เขตร้อนบริเวณ
ประเทศบราซิลถูกใช้เป็นพืชสมุนไพรกันอย่างแพร่หลาย
ในสับปะรดจะมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า บรอมีเลน (BROMELAIN)
มีสรรพคุณในการย่อยสลายโปรตีน จึงนิยมนำไปหมักกับเนื้อสัตว์ต่างๆ
เพื่อให้เนื้อนุ่มน่ากิน ตำราแพทย์แผนโบราณ
แนะนำให้กินสับปะรดหลังกินอาหารเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของกระเพาะ
ลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระเพาะ และไม่ทำให้แน่นท้องหลังกินอาหาร
- มีฤทธิ์ช่วยย่อยอาหาร ถ้ามื้อไหนทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์เข้าไปมากๆ จนจุกเสียด แน่นท้องให้ทานสับปะรดเข้าไปหลังรับประทานอาหารจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้
- สมานแผลและลดการอักเสบ ของกระเพาะอาหารและลำไส้เพราะเอนไซม์บรอมีเลนมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้ออ่อน ๆ คอยทำลายแบคทีเรียที่ไม่มีประโยชน์
- ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ
- ช่วยแก้ท้องผูกได้เพราะมีกากใยมาก แต่ก็ไม่ควรทานมากไป เพราะอาจจะทำให้ท้องเสีย
- มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา แก้นิ่ว
- ป้องกันการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด อัมพฤกษ์อัมพาตเพราะเอนไซม์บรอมีเลนจะไปช่วยลดการเกาะกันเป็นลิ่มเลือดของเกล็ดเลือด
- เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย ต่อต้านโรคมะเร็ง นั่นเพราะบรอมีเลนจะทำให้เม็ดเลือดขาวหลั่งสารไซโตไคน์ ที่ทำให้เม็ดเลือดขาวกำจัดเซลล์มะเร็งได้ ช่วยลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่
- กระตุ้นฮอร์โมนเพศชาย ช่วยเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรน ถือเป็นยาบำรุงกำลังชั้นดีให้คุณผู้ชาย
- บรรเทาโรคเกาต์ได้ โดยทานสับปะรด 1/4 ผล (ขนาดเล็ก) วันละ 2-3 ครั้ง หลังอาหาร 1 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อให้เอนไซม์บรอมีเลนช่วยต้านการอักเสบ ลดความเจ็บปวดจากการอักเสบ
- ลดอาการปวดข้อ ข้ออักเสบ หลังจากออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาหนัก ๆ
ข้อควรระวังในการกินสับปะรด
- ไม่ควรทานตอนท้องว่าง เพราะเป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์มาก มีรสเปรี้ยว ทานแล้วอาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร
- ไม่ควรทานสับปะรดดิบ เพราะมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง และก็ไม่ควรทานสับปะรดที่สุกเกินไป เพราะอาจเริ่มเน่า แล้วทำให้ท้องเสียได้
วิธีทานสับปะรดไม่ให้แสบลิ้น
หลายคนอาจจะกลัวว่าเวลาทานสับปะรดแล้วจะแสบลิ้นและปาก ซึ่งถ้าเรารู้จักทานอย่างถูกวิธีก็ไม่ต้องกลัวว่าจะแสบลิ้นตามมาร
โดยเวลาทานสับปะรดต้องทำแบบนี้
- ใช้มีดเฉือนเปลือกออกจนหมด
- จากนั้นใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียง
- ตัดเป็นชิ้น แล้วเอาเกลือทาให้ทั่ว หรือแช่ในน้ำเกลืออ่อน ๆ ประมาณ 2-3 นาที แล้วทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือจะช่วยทำให้เอนไซม์บรอมีเลนที่มีฤทธิ์เป็นกรด ปรับเปลี่ยนโครงสร้างไม่สามารถเกิดปฏิกิริยากับอวัยวะในปาก และยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid จึงไม่ทำให้เกิดอาการแพ้จนแสบลิ้น
เมื่อทราบประโยชน์ของแกนสับปะรดแล้ว คราวหน้าเวลาหั่นสับปะรดก็ควรหั่นเนื้อมาพร้อมกับแกนกลางด้วยจะดีกว่าทานแต่เนื้ออย่างเดียวนะคะ
หากใครอยากลองเปลี่ยนวิธีการทานสับปะรดจากหั่นเป็นชิ้นมาเป็นน้ำสับปะรดปั่นแทน ELVIRA เราก็มีเครื่องปั่นเอนกประสงค์ POWER BLENDER ที่ปั่นเนื้อสับปะรดได้อย่างละเอียด แบบไม่ต้องแยกกากทิ้งทำให้เรารับคุณค่าทางสารอาหารที่มีอยู่ในสับปะรดได้อย่างครบถ้วน
ข้อมูลจาก : คุณพรปวีณ์ บุญเรือง, www.medthai.com, www.share-si.com, www.health.kapook.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Elvira Power Blender-Rainbow(Banana)
เราสร้างสรรค์เครื่องปั่นคุณภาพเยี่ยม ให้กับคนรักสุขภาพตัวจริงELVIRA Blender Grab & Go - Magic Blue
เครื่องปั่นเอลวิร่ารุ่น Grab & Go - สีฟ้า
เครื่องปั่นอเนกประสงค์เป็นเครื่องปั่นเล็กที่มีความกระทัดรัด พกพาได้สะดวกพกติดตัวได้ ความละเอียดของอาหาร (ขึ้นอยู่กับการปั่นโดยเฉลี่ยต่อการปั่นจะใช้เวลาเพียง 30-35 วินาทีเท่านั้น)ELVIRA Blender Grab & Go - Strawberry
เครื่องปั่น ELVIRA รุ่น Grab & Go - สีชมพู
เครื่องปั่นอเนกประสงค์เป็นเครื่องปั่นเล็กที่มีความกระทัดรัด พกพาได้สะดวกพกติดตัวได้ ความละเอียดของอาหาร (ขึ้นอยู่กับการปั่นโดยเฉลี่ยต่อการปั่นจะใช้เวลาเพียง 30-35 วินาทีเท่านั้น)Cooking, TIPS & TRICK
5 อาหารที่ไม่ควรนำเข้าเตาไมโครเวฟ
5 อาหารที่ไม่ควรนำเข้าเตาไมโครเวฟ !
เตาไมโครเวฟกลายเป็นสิ่งจำเป็นในวิถีชีวิตที่รีบเร่งในปัจจุบัน เพราะความสะดวกสบายรวดเร็วทันใจในการอุ่นอาหารแต่มีอาหารบางชนิดที่ไม่เหมาะกับการอุ่นหรือปรุงด้วยไมโครเวฟด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและคุณค่าทางสารอาหารที่หายไป วันนี้ ELVIRA จึงคัดเอาอาหารที่เป็นอันดับต้นๆ ที่หลายๆ คนคงเคยเอาอาหารเหล่านี้เข้าไมโครเวฟกันบ้างละ
1. เนื้อสัตว์แช่แข็ง
การนำเอาเนื้อสัตว์แช่แข็งไปละลายในไมโครเวฟ เป็นการกระตุ้นให้เชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ในเนื้อสัตว์ เจริญเติบโตขึ้น ดังนั้นเมื่อละลายน้ำแข็งแล้วจึงควรทำให้หมดในครั้งเดียว ไม่ควรเก็บไว้ทำอาหารในครั้งต่อไป นอกจากนี้ผลการวิจัยจากญี่ปุ่นเผยว่า การนำเอาเนื้อสัตว์ไปทำอาหารในไมโครเวฟเกิน 6 นาที จะทำให้วิตามิน B-12 ในเนื้อสัตว์ลดลงไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว วิธีการที่ดีที่สุดในการละลายน้ำแข็งของเนื้อสัตว์แช่แข็งก่อนที่จะนำออกมาปรุงคือให้นำไปแช่น้ำหรือแช่ตู้เย็นช่องธรรมดาล่วงหน้า 1 คืนถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการละลายในไมโครเวฟ
2. ไข่ดิบทั้งใบ
บางคนอาจยังไม่เคยรู้ หากเรานำไข่ดิบเข้าไมโครเวฟ ไข่อาจระเบิดได้ เพราะภายในไข่มีน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อทำให้น้ำในไข่ร้อนด้วยคลื่นไมโครเวฟจะทำให้ของเหลวภายในไข่ร้อน สุก หรือเดือดระอุอยู่ภายในจนทำให้เกิดแรงดันภายในไข่ขึ้น และถ้าแรงดันมีมากๆ ก็จะดันจนเปลือกไข่แตก กลายเป็นไข่ระเบิดออกมา ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าไข่มีเปลือกแข็งและมีเยื่อหุ้มไข่ขาวที่เหนียว ทำให้สามารถทนรับแรงดันได้สูง ไมโครเวฟทำให้น้ำในไข่ร้อนจนกลายเป็นไอ เมื่อเรานำไข่ที่ผ่านความร้อนแล้วออกมาตอกข้างนอกหรือกะเทาะเปลือกไข่หรือเพียงแค่เปลือกไข่ถูกกระแทกเบาๆ แรงดันทั้งหมดก็จะพุ่งออกมาจากจุดที่ถูกกะเทาะนั้นทำให้เกิดระเบิดออกมาพร้อมกันในคราวเดียวได้ และอันตรายที่จะเกิดตามมาคือเนื้อไข่ร้อนๆ ก็จะพุ่งออกมา หากโดนหน้าตาก็อาจจะเกิดพุพองหรือเศษเปลือกไข่อาจจะกระเด็นเข้าตาได้
การลวกไข่หรือทำอาหารจากไข่ในไมโครเวฟให้ปลอดภัย ควรตอกไข่ออกจากเปลือกเสียก่อน แล้วใช้ส้อมหรือไม้จิ้มฟันเล็กๆ จิ้มไข่แดงให้แตกก่อนเข้าไมโครเวฟ หรือเปลี่ยนมาเป็นการต้มทั้งใบ โดยใส่ไข่ดิบลงในถ้วยที่เติมน้ำจนท่วมไข่ แล้วใส่เกลือลงไป 1 ช้อนชา เพื่อให้เกลือลดแรงดันในไข่ไม่ให้ระเบิดออกดีกว่าการนำไข่ทั้งฟองเข้าในไมโครเวฟ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อทั้งเครื่องไมโครเวฟและบุคคลที่ใช้งานด้วย
3. น้ำเปล่า
น้ำเปล่าดูเป็นอะไรที่ไม่น่าเกิดอันตราย แต่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรจะนำเข้าไมโครเวฟเสียเท่าไร ทั้งนี้ก็เพราะไมโครเวฟจะทำให้น้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้น ยิ่งถ้าให้ความร้อนมาก น้ำก็จะเปลี่ยนสถานะเป็นไอน้ำอย่างรวดเร็ว ซึ่งพร้อมที่จะพุ่งระเบิดขึ้นมาจากภาชนะได้ง่ายๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานอย่างยิ่ง
ทางที่ดี การอุ่นน้ำด้วยไมโครเวฟควรใช้ช้อน (ที่เข้าไมโครเวฟได้) หรือตะเกียบไม้ลงไปในแก้วด้วย เพื่อให้น้ำมีจุดเกาะและกลายเป็นไอโดยไม่ระเบิดออกมา หรือถ้าต้องการอุ่นน้ำให้ร้อนเพื่อชงกาแฟ ให้เทกาแฟหรือนม ผสมลงไปกับน้ำพร้อมกันเลยเพื่อลดการเกิดแรงดันสูงของน้ำค่ะ
4. ผัก
การใช้ความร้อนในการทำอาหารประเภทผัก ไม่ว่าจะเป็น นึ่ง หุง ต้ม ผัด หรือทอด ต่างก็ทำให้สูญเสียสารอาหารในผักทั้งสิ้น ทั้งนี้อัตราการสูญเสียก็แล้วแต่วิธีการที่แตกต่างกันไป และจากผลการวิจัย การนำผักบล็อคโคลี่ไปใช้กับไมโครเวฟ ทำให้สูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักถึง 97% เลยทีเดียว
การใช้ความร้อนปรุงอาหารประเภทผักนั้น หากใช้ความร้อนสูงเป็นเวลานานๆ จะทำให้สารอาหารสำคัญๆในผักถูกความร้อนทำลาย ดังนั้นเพื่อคงคุณค่า สารอาหารในผักเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ควรปรุงด้วยเตาแก๊ส อุณหภูมิปานกลาง และไม่ปรุงจนสุกเกินไป
5. ขนมปัง
หลังจากที่คุณนำขนมปังเข้าไมโครเวฟเพียง 10 วินาที ขนมปังที่เคยนุ่มลิ้นจะกลายเป็นแข็งจนกินไม่ได้ นั้นเพราะความร้อนจากไมโครเวฟจะไปทำให้ขนมปังสูญเสียความชุ่มชื่น ซึ่งส่งผลให้ขนมปังแข็งกระด้างจนกินไม่ได้ หากต้องการอุ่นขนมปังให้ร้อนแนะนำให้ปิ้งในเครื่องปิ้งขนมปังจะดีกว่า
ไมโครเวฟอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงเวลาที่เร่งรีบ แต่การจะนำอาหารชนิดหรือประเภทไหนเข้าเตาไมโครเวฟนั้นควรให้ความใส่ใจในรายละเอียดมากพอสมควร เพื่อความปลอดภัยและเพื่อสุขอนามัยของตัวเราเองนะค่ะ
หากใครที่กังวลเรื่องคลื่นรังสีจากเตาไมโครเวฟ ELVIRA ก็มีทางเลือกสำหรับคนที่รักสุขภาพ คือ JET STEAMER เครื่องนึ่งแรงดันสูง ในการอุ่นอาหารให้ปลอดภัยและรวดเร็วไม่แพ้
เตาไมโครเวฟ ไม่ว่าจะใช้ตุ๋น อุ่น นึ่ง หุงข้าว ก็สามารถทำได้ในเครื่องเดียวประหยัดเวลา ประหยัดค่าไฟและใส่ใจสุขภาพได้ในเครื่องเดียว สนใจหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.elvira.co.th
ข้อมูลจาก : www.girlsfriendclub.com, www.undubzapp.com, www.สุขภาพน่ารู้.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cooking, TIPS & TRICK
ประโยชน์ของการดื่มนม
ประโยชน์ของการดื่มนม
นม เป็นอาหารที่ยอมรับกันว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง ครบถ้วนด้วยสารอาหารหลัก 5 หมู่ นมมีโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอมิโนครบถ้วนทุกชนิด โดยเฉพาะชนิดที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย เช่น ทริปโตเฟน อาร์จินีน (Arginine) ไลซีน วาลีน (Valine) ลิวซีน ไอโซลิวซีน มีไขมันที่เรียกว่า มันเนย ให้พลังงานสูง โดยมันเนย 1 กรัม ให้พลังงานถึง 9 แคลอรี คาร์โบไฮเดรตในนม คือ น้ำตาลแล็กโทส (Lactose) เป็นน้ำตาลชนิดเดียวที่มีในนม ให้พลังงานในอัตรา 1 กรัม ต่อ 4 แคลอรี นมอุดมด้วยเกลือแร่หลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟัน ทั้งยังมีวิตามินต่าง ๆ ครบถ้วน เช่น วิตามินเอ บี 1 บี 2 ไนอะซิน (Niacin) กรดแพนโทเทนิก (Pantothenic acid) ไพริดอกซิน (Pyridoxine) ไบโอทิน (Biotin) กรดโฟลิก วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเค ELVIRA จึงได้รวบรวมคุณประโยชน์ของการดื่มนมว่าคุณค่าสารอาหารที่กล่าวมาข้างต้นมีประโยชน์กับร่างกายเราอย่างไรบ้าง อ่านแล้วอาจจะทึ่งในประโยชน์ของ “นม” กันเลยทีเดียว
- น้ำนมมีสารอาหารครบ 5 หมู่จึงช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย
- นม ช่วยทำให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค
- ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายในวัยผู้ใหญ่ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะ
- ไขมันจากนมช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย (ปกติเราจะเรียกว่า “มันเนย”)
- ช่วยให้กระดูกเจริญเติบโตและแข็งแรง ซึ่งจำเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเด็กในช่วงก่อนเข้าวัยรุ่นและช่วงวัยรุ่น มีความสำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการทางร่างกายและสมองของเด็ก ๆ
- ช่วยบำรุงประสาท (วิตามินบี 1) ช่วยบำรุงหัวใจ (วิตามินบี 1)
- ช่วยในการทำงานของระบบเซลล์ผิวหนัง (วิตามินบี 2)
- ช่วยทำให้ระบบประสาทไวต่อสิ่งเร้ามากขึ้น (แคลเซียม)
- ช่วยทำหน้าที่ยืดและหดตัวของกล้ามเนื้อ (แคลเซียม)
- มีส่วนช่วยลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ (แคลเซียม)
- ช่วยทำให้เลือดแข็งตัว (แคลเซียม) และช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง (วิตามินบี 12)
- ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด (วิตามินดี)
- ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย (วิตามินบี 1)
- นมสามารถนำไปผลิตเป็น เนย ชีส ครีม โยเกิร์ต ไอศกรีมได้
- มีงานวิจัยชี้ว่านมช่วยลดน้ำหนักตัวได้ ซึ่งจากการศึกษาโดยใช้นมพร่องมันเนยในเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนักพบว่ากลุ่มที่ดื่มนมพร่องมันเนยสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่ม
- ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
- ดื่มนมในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่นแล้วจะช่วยทำให้ตัวสูงขึ้น เพราะแคลเซียมจะช่วยทำให้กระดูกยาวขึ้น ทั้งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกในวัยเด็ก
- ช่วยป้องกันการเกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อ (วิตามินดี)
- ช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารเป็นปกติ ทำให้ขับถ่ายได้สะดวก ป้องกันอาการท้องผูก (นมเปรี้ยว)
วิธีการดื่มนมอย่างถูกวิธี
การดื่มนมทุกวัน ย่อมทำให้สุขภาพร่างกายดี และการดื่มนมนั้น หากไม่เลือกเวลาดื่มอาจจะไม่ได้ประโยชน์อย่างที่กล่าวไว้เบื้องต้นก็เป็นได้ มาดูช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดื่มนมกันดีกว่าเพื่อให้ร่างกายของเรานั้นได้ซึมซับกับของที่มีประโยชน์มากที่สุด
05.00 น.- 07.00 น. กระตุ้นลำไส้ใหญ่ ช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่ของเรานั้นมีการทำงานและเคลื่อนไหวมากที่สุด หากเราได้ดื่มนมสด หรือนมเปรี้ยวเข้าไปในเวลานั้น จุลินทรีย์จะเข้าไปทำหน้าที่เคลือบลำไส้ใหญ่ ให้มีการไหลลื่นสิ่งของที่เกาะลำไส้ของเราไหลลงสู่ทวารหนัก และจะทำให้ร่างกายของเรานั้นไม่เก็บของเสียไว้ในร่างกาย
07.00 น.- 09.00 น. กระตุ้นการทำงานของกระเพาะ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ร่างกายของเราต้องการพลังงานมากที่สุด นอกจากต้องการอาหารมื้อเช้าอย่างมากแล้ว หากเราได้ดื่มนมเข้าไปจะทำให้ร่างกายของเรานั้นสดชื่นมากกว่าที่เคยเป็น เพราะอาหารจะเป็นตัวช่วยดูดซับน้ำนมที่เราดื่มเข้าไปในช่วงเช้าส่งสารอาหารเข้าไปเลี้ยงสมองทำให้เรารู้สึกปลอดโปร่งในทุกๆ วัน
09.00 น.- 12.00 น. กระตุ้นการทำงานสมอง ช่วงเวลาของอาหารมื้อเช้าได้หมดลงไป และร่างกายต้องการพลังงานเพิ่มเติมในช่วงที่ 2 หากเรารับประทานนมเข้าไป ร่างกายจะตอบสนองในด้านความจำ การเรียนรู้เพิ่มขึ้น รวมไปถึงการทำงานในวันนั้นๆ ด้วยเช่นกัน
12.00 น. – 15.00 น. กระตุ้นการทำงานของลำไส้เล็ก การกระตุ้นลำไส้เล็ก เหมาะสำหรับท่านที่ชอบทานนมที่มีไขมันต่ำ 0 เปอร์เซ็นต์
ถึงแม้ว่านมจะมีประโยชน์มากมาย แต่บางคนดื่มนมแล้วจะเกิดอาการท้องเสีย โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่ เนื่องจากร่างกายของคนแถบเอเชียจะมีน้ำย่อยสำหรับน้ำตาลแล็กโทสเพียงช่วงตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 4-5 ปี หลังจากนั้นน้ำย่อยจะค่อยๆ ลดลงจนหมดไป เมื่อดื่มนมเข้าไป น้ำตาลที่ไม่ถูกย่อยจะทำปฏิกิริยากับจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารจนเกิดกรดและแก๊ส ทำให้มีอาการแน่นท้อง ท้องอืด จุกเสียด และท้องเสีย
ยุคปัจจุบัน มีคนไทยจำนวนมากเติบโตในยุคที่รณรงค์ส่งเสริมถึงคุณประโยชน์ของนม จึงได้ดื่มนมอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ แบคทีเรียในลำไส้จะสร้างน้ำย่อยตัวนี้ขึ้นมา จึงไม่เกิดปัญหาการย่อยนมที่ดื่ม สามารถปรับแก้ได้โดยการเริ่มดื่มนมวันละครึ่งแก้ว หรือ 4-5 อึก เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างน้ำย่อย แล้วค่อยเพิ่มปริมาณนมขึ้นเรื่อย ๆ จนดื่มได้เป็นปกติ หรืออาจเลือกกินผลิตภัฑณ์นมอื่น ๆ อย่างโยเกิร์ตหรือเนยแข็งแทน
ข้อควรระวัง
- บางคนคิดว่าการรับประทานยาพร้อมกับนมจะมีประโยชน์กับร่างกาย คุณคิดผิดแล้ว ! เพราะมันอาจจะส่งผลกระทบต่อการดูดซึมของยาได้ ทำให้ความเข้มข้นของยาในเลือดลดลง ดังนั้น คุณไม่ควรดื่มนมก่อนหรือหลังรับประทานยา 1-2 ชั่วโมง
- สำหรับใครที่ชอบดื่มนมอุ่นๆ การต้มนมให้เดือดด้วยอุณหภูมิสูงถึง 100 องศาเซลเซียส อาจจะทำให้น้ำตาลในนมไหม้เกรียมได้ ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ แคลเซียมเกิดตะกอนทำให้ดูดซึมได้ยากขึ้น ทางที่ดีการต้มเพื่อฆ่าเชื้อในนมใช้อุณหภูมิที่ 60 องศาเซลเซียสประมาณ 6 นาที หรือที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสประมาณ 3 นาทีก็เพียงพอแล้ว
- การเติมน้ำมะนาวหรือน้ำส้มลงในนมอาจจะไปทำลายโปรตีนในน้ำนมได้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
- คุณหรือลูกน้อยของคุณไม่ควรรับประทานข้าวต้มพร้อมกับการดื่มนม เพราะจะไปทำลายวิตามินเอในนมได้ และจะส่งผลให้เด็กเจริญเติบโตช้า
ถึงแม้นมจะมีคุณประโยชน์ที่หลากหลายก็ตาม แต่หากเราดื่มนมไม่ถูกวิธี หรือไม่ถูกช่วงเวลาก็มีส่วนทำให้เราไม่ได้รับคุณค่าทางสารอาหารที่ควรจะได้รับจากนมได้อย่างเต็มที่ เมื่อรู้ประโยชน์จากนมมากมายขนาดนี้แล้วใครที่ไม่ชอบดื่มนมคงต้องเปิดใจลองดื่มแล้วละ
ข้อมูลจาก : www.medthai.com, www.prayod.com, www.thaidanskmilk.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cooking, TIPS & TRICK
12 อาหารที่ควรทานในหน้าฝน
12 อาหารที่ควรทานในหน้าฝน
ฤดูฝนทีไร สิ่งที่มาพร้อมกับฝนก็คือ ไวรัสหวัดที่ทำให้คนเราไม่สบายและเป็นหวัดกันอยู่บ่อยๆ ใช่ไหมคะ การป้องกันนอกจากจะทำร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนเพียงพอ ไม่โดนฝนแล้วนั้น การเลือกทานอาหารก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน วันนี้ ELVIRA จึงนำเสนอเมนูอาหารที่เราควรทานในช่วงหน้าฝน มาฝากกันค่ะ
- ซุปไก่ น้ำต้มไก่ แกงข่าไก่
เมนูซุปไก่ร้อนๆ รวมทั้งน้ำต้มไก่ แกงข่าไก่ นอกจากจะทำง่ายกินง่ายแล้วยังเป็นเมนูคู่ใจที่ช่วยป้องกันหวัดได้ดีเลยทีเดียวเพราะน้ำที่ต้มไก่มีสรรพคุณในการต้านหวัดที่ทั่วโลกรู้กัน โดยมีรายงานวิจัยพบว่าซุปไก่มีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวชนิดที่เรียกว่า นิวโทรฟิลด์ ไปยังเนื้อเยื่อปอด ทำให้ลดกระบวนการอักเสบในปอดและลดอาการไอ อีกทั้งยังเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงด้วย เคล็ดลับง่ายๆ สำหรับเมนูนี้ก็คือ เมื่อเราตุ๋นซุปไก่เป็นเวลานานจะทำให้โปรตีนย่อยสลายกลายเป็นไดเปปไทด์ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายสดชื่น และยังให้โปรตีนที่ดีต่อร่างกายด้วย - แกงเลียง
สำหรับใครที่เป็นหวัดบ่อย ๆ บอกเลยว่าเมนูแกงเลียงเหมาะสำหรับเอาไว้ซดร้อนๆ เพื่อบรรเทาอาการหวัดให้หายเร็วขึ้น เพราะแกงเลียงเป็นอาหารที่มีรสชาติอร่อยเผ็ดร้อนมีเครื่องปรุงเป็นสมุนไพรหลากชนิด ทั้งพริกไทย หอมแดง บวบ น้ำเต้า ใบแมงลัก ตำลึง ข้าวโพด ซึ่งมีสรรพคุณในการบรรเทาอาการต่างๆ เวลาที่เป็นไข้หวัดค่ะ - แกงส้มมะละกอ
นอกจากจะเป็นเมนูที่ให้พลังงานและไขมันต่ำแล้วยังอุดมไปด้วยใยอาหารอีกด้วย เนื่องจากเป็นเมนูที่ใส่ผักต่างๆ หลายชนิดจึงทำให้มีประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายอย่างมากและเครื่องแกงของแกงส้มที่รสชาติเผ็ดร้อน ยังมีสรรพคุณในการต้านไวรัสด้วย
- แกงเผ็ด และ อาหารรสเผ็ดทุกชนิด
แกงที่มีพริกประเภทต่างๆ รวมถึงพริกไทยเป็นส่วนประกอบ จะช่วยทำให้หายใจโล่ง หายคัดจมูก นอกจากนั้นอาหารประเภทแกงเผ็ดยังประกอบไปด้วนสมุนไพรไทยมากมายที่ช่วยเสริมภูมิต้านทาน เช่น ใบมะกรูด ใบกระเพรา ใบโหระพา หอม เป็นต้น
- ผัดผักบุ้ง
ผักบุ้งเป็นผักที่หาทานง่ายในทุกฤดูกาลหลายคนมักจะเข้าใจเพียงแค่ว่าทานผักบุ้งเยอะๆ จะช่วยบำรุงสายตา แต่จริงๆแล้วประโยชน์ของผักบุ้งไม่ได้มีแค่นั้นนะคะเพราะการรับประทานผักบุ้งยังช่วยแก้ไอ ปวดศรีษะ และอาการร้อนในได้อีกด้วย
- แครอท
เป็นอาหารสุขภาพอีกชนิดที่ไม่ควรพลาด เพราะแครอทอุดมไปด้วยวิตามินเอที่ช่วยรักษาระบบคุ้มกันของร่างกายยิ่งฝนตกบ่อยแบบนี้หลายคนที่เป็นหวัดง่ายอย่าลืมทานแครอทกันนะคะ เพราะเจ้านี่แหละที่ช่วยต่อสู้กับเชื้อหวัดทำให้เราหายป่วยเร็วขึ้นอีกด้วย
- น้ำขิง
ขิงนอกจากจะช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ และช่วยย่อยอาหารแล้วน้ำขิงยังแก้อาการคลื่นเหียน เจ็บคอ และเสมหะ เป็นหวัดบรรเทาน้ำมูกไหลได้อีกด้วย นอกจากนี้น้ำขิงร้อนๆ ยังมีฤทธิ์ช่วยขับเหงื่อ แก้หวัดเย็น หรืออาการรู้สึกหนาวไข้ต่ำๆ เมื่อเริ่มมีฝนตกอากาศชื้นและเกิดอาการเซื่องซึม เฉื่อยชา เริ่มเป็นหวัดรีบดื่มน้ำขิงก็จะช่วยลดอาการได้อย่างดีขิงมีสารพวกแอนตี้ฮีสตามีนที่ช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ - หากใครที่เริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะไม่สบายลองชงน้ำขิงดื่มสักถ้วยรับรองว่าจะรู้สึกดีขึ้นจริงๆ ถือว่าเป็นเครื่องดื่มสุขภาพตัวจริงสำหรับหน้าฝนเลยทีเดียว ค่ะ
- น้ำหมักผลไม้
เครื่องดื่มอย่างน้ำหมักผลไม้ คุณแม่บ้านก็สามารถทำเก็บแช่ไว้ได้เองค่ะหากต้องการทำน้ำหมักผลไม้เราควรใช้ผลไม้รสเปรี้ยวอย่าง ส้ม มะนาว เกรปฟรุต สตรอว์เบอร์รี่ ฯลฯ เพราะผลไม้เหล่านี้มีวิตามินซีสูงจึงช่วยรักษาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานอย่างปกติ
- ชาร้อน
ชาร้อนทุกชนิดมีสารโพลิฟีนนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดอาการติดเชื้อ ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกชุ่มชื้นหายใจสะดวกการดึงคุณสมบัติแก้หวัดจากชาร้อนได้ดีที่สุดควรชงชาในน้ำร้อนตั้งทิ้งไว้ราว 1 นาที แล้วค่อยดื่มจึงจะได้ผลดีที่สุดค่ะ
- น้ำผักผลไม้
ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอท ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูป มะละกอสุก มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเช่น เบตาแคโรทีน (วิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี ซึ่งช่วยกำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อ และทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น
- กระเทียม
กระเทียมจะช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัดได้อย่างดี นักวิจัยชาวจีน ดร.เบนจามิน เลา แห่งมหาวิทยาลัยโลมาลินดาในแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษายารักษาโรคตามแบบแพทย์ตะวันออกมานาน ได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า กระเทียมมีกำมะถันเป็นองค์ประกอบซึ่งออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสหวัดได้โดยตรงและยังช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ใครที่ไม่ชอบทานกระเทียมเพราะกลิ่นของมันต้องหันมาให้ความสำคัญกับกระเทียมเพราะคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมแล้วละค่ะ
- โยเกิร์ต
โยเกิร์ตช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยเพิ่มการสร้างสารแอนติบอดี้บางชนิดได้ การศึกษากับอาสาสมัครทั้งคนหนุ่มและคนสูงอายุ พบว่าการรับประทานโยเกิร์ตทุกวันเป็นเวลา 1 ปี ช่วยลดอาการจากหวัดและภูมิแพ้ ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น และร้อยละ 25 เป็นหวัดน้อยลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทาน นอกจากนี้ โยเกิร์ตยังช่วยในเรื่องการขับถ่ายได้อีกด้วย
นอกจากการออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่ดีก็เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคในเราได้อีกทางหนึ่งนะค่ะ หน้าฝนแบบนี้อย่าลืมพกร่มติดตัวจะได้ไม่ต้องตากฝนจนเป็นหวัดนะคะ ด้วยความรักและห่วงใยจาก ELVIRA ค่ะ
ข้อมูลจาก : www.tescolotus.com, www.oknation.nationtv.tv
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cooking, TIPS & TRICK
พฤติกรรมแบบไหน…พาไกลมะเร็ง
พฤติกรรมแบบไหน …พาเราไกลจากมะเร็ง
ยุค สมัยนี้ คำว่า “ มะเร็ง “ กลายเป็นสิ่งที่ได้ยินบ่อยจนกลายเป็นคนคุ้นเคยไปเสียแล้วแม้เราๆ จะไม่อยากคุ้นเคยก็ตาม ยิ่งช่วงนี้ ข่าวของดาราที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง กำลังเป็นกระแสให้คนตระหนักถึงโรคนี้มากขึ้น ว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป วันนี้ ELVIRA จะมาบอกเล่าถึงวิธี การดูแลสุขภาพเพื่อให้ห่างไกลจากโรคนี้กันค่ะ
นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า โรคมะเร็งยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งของคนไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 และยังคงสูงอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 100 คน ต่อประชากร 100,000 คน โรคมะเร็งที่พบบ่อยในประเทศไทย สามารถจำแนกในแต่ละเพศได้ดังนี้คือ
เพศชาย 5 อันดับแรกของมะเร็งที่พบบ่อยคือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี, มะเร็งปอด, มะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก, มะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ส่วน 5 อันดับแรกของมะเร็งที่พบบ่อยในเพศหญิง คือ มะเร็งเต้านม, มะเร็งปากมดลูก, มะเร็งตับ, มะเร็งปอด, มะเร็งลำไส้ใหญ่
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งมี 3 ปัจจัยหลัก คือ
1. กรรมพันธุ์ เป็นสาเหตุเพียง 5-10% ของปัจจัยเสี่ยงทั้งหมด
2. พฤติกรรม ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
3. สิ่งแวดล้อม ที่ประกอบไปด้วยมลภาวะต่างๆ กรรมพันธุ์ เป็นสาเหตุเพียง 5-10% ของปัจจัยเสี่ยงทั้งหมด
จากปัจจัยเสี่ยงข้างต้นกรรมพันธุ์ถือว่ามีผล เพียง 10% แต่ถ้าเป็นเรื่องของพฤติกรรมหรือการใช้ชีวิตประจำวัน ถือว่ามีผลทำให้เกิดความเสี่ยงมาก และสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราสามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะมีพฤติกรรมมากมาย ที่ทำให้เราก้าวขาเข้าสู่ความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง
พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่จะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคร้ายนี้ได้มีดังนี้ คือ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงจากพื้นที่ที่มีอากาศหรือมลภาวะเป็นพิษ อย่างท่อไอเสียจากรถยนต์ หรือควันจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นต้น
- อาหารการกินควรเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลาย เน้นทาน ผักผลไม้ที่ให้วิตามิน C และ A สูง เช่น ส้ม, มะนาว, สตรอว์เบอร์รี่, ฝรั่ง, แครอท, มะละกอ, ทานอาหารที่ให้กากใยหรือไฟเบอร์มาก เช่น ข้าวโพด, เมล็ดธัญพืชต่างๆ ฯลฯ, ผักตระกูลกะหล่ำเช่น ดอกกะหล่ำ, กะหล่ำปลี, บร็อกโคลี, หรือผักคะน้า ฯลฯ, ควรจำกัดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและไขมัน, หลีกเลี่ยงอาหารปิ้ง ย่าง ทอด รมควัน เนื้อสัตว์แปรรูป หรือของหมักดอง รวมทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, ไม่รับประทานอาหารจากน้ำมันทอดซ้ำ ไม่ดื่มสุราแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงอาหารประเภทสุกๆ ดิบๆ อย่าง ก้อย ปลาจ่อม เป็นต้น
- พยายามหลีกเลี่ยงการตากแดด โดยเฉพาะในเวลาหลัง 09.00 น. เป็นต้นไป เพราะเป็นช่วงที่มีรังสีอัลตราไวโอเลตจำนวนมากที่ทำลายเซลล์ผิวหนังของเรา และอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้
- ออกกำลังกายเป็นนิจ
- ทำจิตใจแจ่มใส
- ตรวจร่างกายเป็นประจำ
การดูแลตัวเองเป็นสิ่งจำเป็น การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงสร้างพฤติกรรมการดำเนินชีวิตประจำวันที่ดี จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งได้ ร้อยละ 40 อ่านถึงตรงนี้ เราจะเห็นว่าพฤติกรรมที่จะพาเราให้ห่างไกลจากโรคร้ายนี้ ไม่ได้ทำให้ชีวิตประจำวันเราอยู่ยากอะไร เพิ่มขึ้นเลย เริ่มดูแลตัวเองกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีของเราตลอดไป
ข้อมูลจาก : Kaijeaw.com, เกร็ดความรู้.net
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cooking, TIPS & TRICK
ทำบุญตักบาตรอย่างไรให้ได้บุญ
ทำบุญใส่บาตร อย่างไรให้ได้บุญ
เข้าพรรษาแล้ว เห็นชาวพุทธเข้าวัดทำบุญใส่บาตรกันอย่างคึกคัก ก็รู้สึกปลื้มจิต ปลื้มใจกันไม่น้อยทีเดียว วันนี้ ELVIRA ได้รวบรวมข้อมูลที่ถือว่าเป็นประโยชน์และได้บุ๊น ได้บุญมาให้แฟนๆ สายบุญได้อ่านกันจ้า
ปัจจุบัน มากกว่า 50% ของพระในกรุงเทพฯ และเขตเมืองมีความเสี่ยงต่อโรคอ้วน สูงกว่าชายในกรุงเทพ (39%) และชายทั่วประเทศ (28%) ปัจจัยที่ทำให้พระสงฆ์มีปัญญาด้านสุขภาพมากขึ้นก็เพราะอาหารที่บรรดาญาติโยมทั้งหลายนำมาใส่บาตร ทั้งของคาวของหวานรสอร่อยแต่กลับพ่วงโรคร้าย ไม่ว่าจะเป็น โรคความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ และหลอดเลือด ฯลฯ ดังนั้นเราควรพิถีพิถันตั้งแต่การปรุงอาหาร
วิธีการปรุงควรปรุงแบบ นึ่ง ยำ ย่าง เผา อ่อม หมก แทนการผัด และทอด ควรลดหวาน มัน เค็ม และกะทิ น้ำปานะ ควรลดความหวาน เน้นเพิ่มโปรตีน เช่น นมถั่วเหลือง นมจืดชนิดไขมันต่ำ โยเกิร์ตแบบหวานน้อย
ประเภทอาหารที่จะถวาย ควรเลือกโดยเฉพาะกลุ่มเหล่านี้
- กลุ่มโปรตีนโดยเฉพาะเมนูปลา (ให้โปรตีนและไขมันดี)
- กลุ่มธัญพืช ข้าวประเภทต่างๆ เช่น ข้าวกล้อง, ข้าวซ้อมมือ ฯลฯ โฮลวีท งาดำ ลูกเดือย เห็ด และพืชตระกูลถั่ว เพราะให้เส้นใยอาหารครบ 5 หมู่, วิตามินบีและอี ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง, ลดความดันโลหิต, ป้องกันมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ฯลฯ
- กลุ่มแร่ธาตุ อาทิ ตำลึง คะน้า ใบขึ้นฉ่าย กุยช่าย นมสด ไข่ เนื้อสัตว์ เครื่องใน ฯลฯ ซึ่งช่วยป้องกันโรคมะเร็ง, โรคหัวใจ, ไขมันอุดตันในเส้นเลือด, ลดคอเลสเตอรอล และมีธาตุเหล็ก ป้องกันโรคโลหิตจาง
- กลุ่มผักผลไม้ ควรเลือกซื้อเป็นผักพื้นบ้านและผักตามฤดูกาล เพราะจะได้ผักที่สด และราคาถูก เพราะผักและผลไม้แต่ละชนิดมีคุณประโยชน์ต่างกันไป อาทิ กระเทียม ช่วยลดคอเลสเตอรอล และความดัน, ขิงข่า ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ทำบุญตักบาตรครั้งต่อไป ก็อย่าลืมเพิ่มความใส่ใจสุขภาพของพระสงฆ์กันให้ด้วยนะค่ะ คนใส่บาตรก็ได้อิ่มใจ พระท่านก็ได้สุขภาพที่ดี
ข้อมูลจาก : นพ.ประดับ สุขุม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ, Club Sanook.com, www.thaihealth.or.th
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cooking, TIPS & TRICK
สาร BPA คืออะไร
สาร BPA คืออะไร
BPA หรือ Bisphenol A เป็นสารเคมีประกอบหนึ่งในวัตถุที่เรียกว่า โพลีคาร์บอเนต (Polycarbonate – Plastic)
ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตขวดนม ขวดน้ำดื่มมานาน
โดยสารนี้มีคุณสมบัติช่วยให้ขวดนม หรือพลาสติกมีความแข็งแรง ใส ไม่แตกง่าย โรงงานผู้ผลิตบางโรงงาน ที่ต้องการลดต้นทุน
ได้นำวัตถุดิบรีไซเคิลมาใช้ผลิตขวดนม และใส่สาร BPA เพื่อให้พลาสติดสวยใส ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่เป็นปัญหา
ต่อมาได้มีการศึกษาวิจัยในประเทศแคนาดา และตรวจพบว่าสารชนิดนี้สามารถหลุดลอกออกมาจากขวดนมได้ หากขวดนมมีการแตกร้าว
เสื่อมคุณภาพ และอยู่ในอุณหภูมิความร้อนสูงๆ เช่น ระหว่างการต้มขวดนม หรือนึ่งขวดนม
เมื่อบริโภคอาหารจากบรรจุภัณฑ์เหล่านั้นก็มีโอกาสจะได้รับสาร BPA เข้าไปโดยไม่รู้ตัว ภายหลังจึงได้มีการประกาศห้ามใช้ BPA กับภาชนะที่ใส่อาหารที่ต้องโดนความร้อน เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
BPA เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร
การเข้าสู่ร่างกายของ BPA นั้นจะเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร
ในเบื้องต้นตัวที่จะเร่งปฏิกิริยาคือ ความร้อน เช่น การต้ม นึ่ง หรือสเตอริไลซ์พลาสติกทำให้สารพิษหลุดและร่อนออกมาปะปนในอาหารยิ่งขึ้น
สาร BPA จะแทรกซึมลงในของเหลวและอาหารที่บรรจุอยู่ภายในภาชนะที่มีสาร BPA เช่น ขวดนม ขวดน้ำพลาสติก กล่องบรรจุอาหาร
แล้วจึงเข้าสู่ร่างกายเมื่อรับประทานหรือดื่มเข้าไป
โทษของ BPA
มีผลต่อการสร้างเซลล์สมอง ระบบประสาท ความทรงจำ การเรียนรู้
มีผลต่อฮอร์โมนการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ ทำให้เด็กเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วเกินไป
เด็กมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนและไฮเปอร์แอคทีฟ
ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคหัวใจ
ยิ่งสะสมในร่างกายมากเท่าใดก็จะยิ่งไปลดศักยภาพการทำงานของร่างกายมากขึ้น
ที่สำคัญคือ เด็กทารกเมื่อได้รับสาร BPA ก็จะส่งผลกระทบที่รุนแรงมากกว่าในเด็กโตหรือผู้ใหญ่
ขอบคุณ ข้อมูลจาก : Wongkarnpat.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cooking, TIPS & TRICK
เคล็ดลับหุ่นผอมสวย ที่สาวออฟฟิสก็ทำได้
เคล็ดลับหุ่นผอมสวย ที่สาวออฟฟิสก็ทำได้
ยุคนี้ หันไปทางไหน ก็เต็มไปด้วย สาวๆ ที่รักสุขภาพ และทางเลือกหนึ่งที่สาวๆ เลือกดูแลสุขภาพก็คือ การทำน้ำผักผลไม้เพื่อดื่มเอง และน้ำผักผลไม้ที่ดื่ม
จำเป็นที่จะต้องมีความสดใหม่ เพื่อให้ได้สารอาหารและวิตามินครบถ้วน เพียงพอสำหรับผู้ที่ต้องการคุณค่าทางอาหารสูงสุดจากน้ำผักผลไม้
การดื่มน้ำผักผลไม้ มีเทคนิคคือไม่ควรดื่มเข้าไปครั้งเดียวหมด ควรดื่มช้าๆ ด้วยช้อนหรือค่อยๆ ดูดน้ำเข้าไป ด้วยวิธีการนี้ น้ำผักผลไม้ จะได้ผสมกับน้ำลาย ซึ่งจะช่วยย่อยน้ำตาลในน้ำผักผลไม้
จากนั้นเมื่อลงสู่กระเพาะจะใช้เวลาเพียง 20-25 นาทีในการย่อย
การดื่มน้ำผักผลไม้สดไม่เพียงแต่จะช่วยทำให้มีสุขภาพดีจากวิตามิน กากใยอาหารในน้ำผักผลไม้นั้นช่วยในเรื่องของการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี
การดื่มน้ำผักผลไม้เป็นประจำยังทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นอีกด้วย
เราหันมาดูแลและใส่ใจสุขภาพกันตั้งแต่วันนี้ ด้วยสูตรการทำน้ำผักผลไม้ดื่มเองกันดีกว่าค่ะ
สมูธตี้สูตรนางแบบ สไตล์ มิแรนด้า เคอรร์ :
กะทิคั้นสด 1 แก้ว,
น้ำมะพร้าว 1 แก้ว,
Acai Powder 1 ช้อนโต๊ะ,
โกจิ เบอร์รี่ 1 ช้อนโต๊ะ,
ผงสาหร่ายสไปรูลิน่า 1 ช้อนโต๊ะ,
ผงโกโก้สด 1 ช้อนโต๊ะ,
ผงมาค่า (Maca Powder) 1 ช้อนโต๊ะ,
Chia Seeds 1 ช้อนโต๊ะ,
ผงโปรตีนที่ทำจากข้าว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
สูตรสมูธตี้มื้อเช้า อร่อยง่าย ประโยชน์เพียบ :
ผักเคล, ผักโขม, เซเลอรี่, แอปเปิ้ลเขียว, กีวี, น้ำเลม่อน, กล้วยครึ่งลูก, แตงกวา, น้ำเปล่า, flax seeds, chia seeds โดยหั่น ผัก ผลไม้ทุกอย่าง ลงไปในโถปั่น แล้วเทน้ำเปล่า ปั่นทุกอย่างรวมกัน
สูตร Banana Choco :
กล้วยหอม 1/3 ลูก, นมควินัว, ผงโปรตีน, ผงพีนัทบัทเทอร์, ผงโกโก้, flax seeds, chia seeds, โรยกราโนล่าช็อคโกแล็ต
สูตร Acai Berry Banana smoothies :
ง่ายๆโดยเตรียม Acai Berry (อาซาอิเบอรี่ผง), กล้วยครึ่งลูก, flax seeds, chia seeds, ผลไม้ตระกูลเบอรี่, มูสลี่ และกราโนล่าช็อคโกแล็ต โดยการใส่ทุกอย่างลงไป ปั่นพร้อมกัน
สูตรผิวใส :
สูตรนี้มีวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน ที่ดีต่อผิวมาก แถมกระชายยังช่วยเสริมเรื่องในการปรับฮอร์โมนอีกด้วย :
แครอท 2-3 หัว, มะเขือเทศ 1 ลูก, เสาวรส พอประมาณ, กระชาย พอประมาณ กลิ่นค่อนข้างแรง แต่ช่วยการไหลเวียนของเลือดเป็นอย่างดี
สูตร Power :
ช่วยให้มีแรงออกกำลังกายมากขึ้น และช่วยดีท็อกซ์ไปในตัว :
แครอท 1 หัว, แอปเปิ้ล 1 ผล, บีทรูท 1 ถ้วยตวง ใส่ทุกอย่างลงไป แล้วปั่นรวมกัน
สูตรผิวสวย หุ่นดี
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathaitwitter
Cooking, TIPS & TRICK
ผลไม้ 11 อย่างที่สามารถช่วยให้ผิวของคุณดูดีขึ้น
ผลไม้ 11 อย่างที่สามารถช่วยให้ผิวของคุณดูดีขึ้น
เราทุกคนรู้ดีว่า การกินผักและผลไม้ มีบทบาทสำคัญทั้งสุขภาพร่างกายภายใน ระบบขับถ่าย และยังรวมไปถึงเรื่องของผิวพรรณของเราด้วย วันนี้เราจะมาบอกเล่าถึงประโยชน์ ของผลไม้แต่ละชนิดว่า ช่วยในเรื่องผิวพรรณของเราให้สวยใส อย่างไรบ้าง
Blueberries
บลูเบอร์รี่ สาวๆที่รักสุขภาพต่างก็รู้ว่า เป็นผลไม้ที่เป็นแหล่งที่มาที่ยอดเยี่ยมของสารต้านอนุมูลอิสระ และอุดมไปด้วยไฟเบอร์และวิตามิน A และ C หากเราเพิ่มผลไม้ชนิดนี้ เข้าไปในเมนูอาหารของคุณจะทำให้ผิวของคุณ เปล่งปลั่ง มีออร่า หน้าเด็กไม่แพ้ใครเลยทีเดียว
Apples
แอปเปิ้ล เป็นหนึ่งในรายการโปรดของผิวของคุณ สำหรับสาวๆ ที่ต้องการให้ผิวอ่อนเยาว์ ไม่หย่อนคล้อย เพราะในแอปเปิ้ลมีคอลลาเจนที่ช่วยเรื่องความยืดหยุ่นของผิว
Watermelon
แตงโม หวานและสดชื่นกับปริมาณน้ำมากกว่า 90% กินผลไม้แสนอร่อยนี้จะชุ่มชื้นผิวของคุณจากภายในสู่ภายนอก
Banana
กล้วย เป็นหนึ่งในแหล่งสารอาหารที่ดีที่สุดของโพแทสเซียม แร่ธาตุที่มีความสำคัญในการรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของคุณ ผิวแห้งเป็นอาการของการขาดโพแทสเซียม กล้วยจึงเป็นส่วนหนึ่งของการบริโภคผลไม้ของคุณทุกวัน หาซื้อง่าย ไม่จัดไม่ได้แล้ว
Pineapple
สัปปะรด ในสมัยโบราณมีการใช้เป็นพืชสมุนไพรมานานหลายปี เป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์ที่เรียกว่า Bromelain ซึ่งช่วยในการรักษาผิวที่เกิดอาการอักเสบและบวม ใครจะคิดว่านอกจากรสชาติ ที่หวานฉ่ำ ชุ่มคอแล้ว ยังมีประโยชน์มากขนาดนี้
Strawberries
สตรอเบอร์รี่ มีวิตามินซี ไฟโตนิวเทรียนท์ และไอโอดีนที่มีส่วนช่วยการทำงานของสมอง และมีสารที่ช่วยในการลดและชะลอการเกิดอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณเราได้ซ่อมแซมกับความเสียหายที่เกิดจากรังสี UV และช่วยลบริ้วรอย หากรับประทานไป ผิวของคุณจะต้องขอบคุณ คุณอย่างแน่นอน
Papaya
มะละกอ เป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยด้วยวิตามินและเอนไซม์ที่ช่วยในการทำลายโปรตีนที่ไม่ได้ใช้งานและกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว รสชาติถูกปาก ดีกับระบบขับถ่าย
Kiwi
กีวี่ ผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด ช่วยคืนความความมีชีวิตชีวาและความกระจ่างใสของผิว
Pomegranate
ทับทิม มีสารต่อต้านริ้วรอยที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยในการกระตุ้นการงอกใหม่ของเซลล์ผิว
Cherries
เชอร์รี่ จะมีปริมาณที่สูงของสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้อื่นๆ ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระและทำให้ชะลอกระบวนการแก่ชรา
Grape
องุ่น มีสารอาหารที่สำคัญหลายชนิด เช่นน้ำตาลกลูโคส น้ำตาลซูโคส วิตามินซี เหล็ก แคลเซียม และกรดเอลลาจิก ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ในการต่อสู้มะเร็ง ช่วยบำรุงสมอง หัวใจ และชะลอการแก่ก่อนวัย ดีขนาดนี้ ไม่จัดไม่ได้แล้วสิ
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathaitwitter