TIPS & TRICK
ออฟฟิศซินโดรม โรคใกล้ตัว น่ากลัวกว่าที่คิด!

ออฟฟิศซินโดรม
คุ้นๆ ชื่อนี้กันไหม ในยุคที่เราใช้เวลานั่งก้มหน้าเคาะคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน และทำทุกๆ วัน หรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยท่าทางซ้ำๆ จนอาจส่งผลให้เกิดโรคและอาการผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ระบบการย่อยอาหารและการดูดซึม ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบฮอร์โมน นัยน์ตาและการมองเห็น ลองมาสังเกตตัวเองแบบง่ายๆ ว่าเรากำลังเป็น “ออฟฟิศซินโดรม” อยู่หรือไม่

1.อาการปวดตึงที่คอ บ่า หลังและไหล่
โดยเฉพาะคนที่ทำงานในออฟฟิศอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์มากกว่า 6 ชั่วโมง ต่อวัน เนื่องจากลักษณะงานที่ต้องนั่งท่าซ้ำๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ท่าทางในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งหลังค่อม ท่าก้มหรือเงยคอมากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายต้องแบกรับความตึงเครียด อาการปวดหลังจึงมาเยือน หากปล่อยไว้นานๆ โดยไม่ได้รับการบำบัดแก้ไข อาจทำให้อาการปวดตึงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นลามไปทั่วทั้งขา บางรายปวดร้าวไปที่เข่าและข้อเท้าก็มี ทั้งหมดนี้เป็นอาการล้าสะสมทำให้เกิดอาการปวดร้าวส่งผลให้เกิดอาการชาลงไปที่บริเวณเท้าและปลายนิ้วเท้าได้ ที่สำคัญคนที่นั่งทำงานนานๆ จนเกิดอาการเหน็บชาบ่อยๆ อย่าได้มองข้ามเด็ดขาด เพราะร่างกายเรากำลังประท้วง ควรลุกขึ้นมาเปลี่ยนท่าและเดินไปทำอย่างอื่นบ้าง เพราะการนั่งทำงานนานๆ ส่งผลต่อเส้นเลือดดำที่ถูกกดทับและทำให้เส้นเลือดไปไหลเวียนในร่างกายไม่ปกติ ถ้าเรามีอาการชาตามขา จนกล้ามเนื้อไร้เรี่ยวแรง อันตรายมากต้องรีบไปปรึกษาหมอและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตด่วนนะคะ

2.อาการยกแขนไม่ขึ้นและนิ้วล็อค
อาการนี้เกี่ยวเนื่องมาจากข้อแรก ซึ่งจะมีอาการปวดตึงกล้ามเนื้อตั้งแต่คอ บ่า จนถึงไหล่ และร้าวลงไปที่แขน จนเป็นเหตุให้ยกแขนไม่ขึ้น เนื่องจากว่ามีพังผืดมาเกาะที่บริเวณสะบักและหัวไหล่นั่นเอง และบางรายอาจมีอาการชาไปที่มือหรือนิ้วมือด้วยสำหรับใครที่จมอยู่กับการคลิกเม้าท์ และเกร็งมือใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างยาวนาน ไม่มีการเปลี่ยนอริยาบถ ทำให้เกิดการอักเสบของปลอกหุ้มเอ็นข้อมือ เส้นเอ็นนิ้วมือ กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทจนเกิดพังผืดยึดจับบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ปวดปลายประสาท นิ้วล็อค หรือข้อมือล็อคได้ใครที่มีอาการแบบนี้ควรบำบัดด้วยการไปให้แพทย์แผนไทยกดจุดเพื่อทำการสลายพังผืด หรือประคบร้อนเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนที่เป็นพังผืดแข็งตึงให้อ่อนตัวลงและคลายความปวดลง อาการก็จะดีขึ้น
3.อาการปวดศีรษะ
ในแต่ละวันคนทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่จะเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว จนทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ คนส่วนใหญ่จะแก้ไขด้วยการกินยาแก้ปวด บางรายอาจกินติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งอาการปวดศีรษะก็จะหายไปชั่วคราว แต่อาจกลับมาทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก ดังนั้น หากคุณมีอาการปวดศีรษะบ่อยๆ แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คและหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไร และรีบรักษาให้หายเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อความสุขในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้นอาการปวดหัวเรื้อรัง หรือ บางครั้งก็ปวดหัวไมเกรน เป็นเพราะเราเครียดจากการทำงาน และใช้สายตาจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาการปวดโดยทั่วไปที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากสาเหตุหลัก 3 ประการ คือ กระดูกและข้อ เส้นประสาท และกล้ามเนื้อ ซึ่งทำงานประสานกันอยู่
- อาการปวดที่เกิดจากกระดูกและข้อ เช่น ขยับแล้วมีเสียง กรอบแกรบ ขยับแล้วเจ็บเสียวแปลบๆ คอยื่นไปข้างหน้า หลังค่อม หลังทรุด กระดูกสันหลังคด กระดูกสันหลังแอ่นงอ
- อาการปวดที่เกิดจากเส้นประสาท เช่น กล้ามเนื้อไม่ค่อยมีแรง ชา กล้ามเนื้อกระตุก
- อาการปวดที่เกิดจากกล้ามเนื้อ เช่น ปวดเมื่อย อ่อนล้า เพลีย ตึง ยึด ปวดขึ้นไปที่ขมับ กล้ามเนื้ออักเสบ พังผืดสั่งสมบริเวณกล้ามเนื้อ รวมไปถึงอาการปวดกล้ามเนื้อต้นคอ ร้าวขึ้นไปบริเวณขมับ ปวดไปที่กระบอกตา ซึ่งเข้าใจผิดว่าเป็นไมเกรนนั่นเพราะ เรานั่งจมกับกองงาน กองเอกสาร และคอมพิวเตอร์ วันๆ นึง ไม่ยอมลุกไปไหน นั่งแช่นานมากกว่า 8 ชั่วโมง ร่างกายจึงประท้วงด้วยอาการปวดตึงที่ต้นคอ ปวดบ่า ปวดไหล่อยู่บ่อยๆ จนอาการหนักถึงขั้นเป็นพังผืดบ่าติด หรือปวดคอหนักมากจนหันคอไม่ได้
แนวทางการรักษา แบ่งออกเป็น
- การรักษาที่สาเหตุของโรค คือ การผ่าตัด และการไม่ผ่าตัด
- การรักษาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น การกินยา ฉีดยา ซึ่งคนไทยหลายคนคิดว่าเมื่อไม่มีอาการแล้ว แปลว่า “หาย” ในความเป็นจริงแล้ว การไม่มีอาการนั้น อาจจะไม่ได้หายจากอาการปวดอย่างถาวร
- การที่จะทำให้ “หาย” จากอาการปวดอย่างถาวรนั้น คือ การรักษาที่สาเหตุของปัญหา ให้สภาพของกระดูกและข้อ กล้ามเนื้อ และเส้นประสาท คืนสู่สภาวะปกติ และดีกว่าปกติ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กลับมาเกิดอาการปวดอีก วิธีการรักษาดังกล่าวเรียกว่า Active Therapy เป็นการรักษาในเชิงป้องกันที่สาเหตุ ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
เคล็ดลับการป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม
- 1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (Be Fit)
- 2. ระวังเรื่องของท่าทาง บุคลิกของตัวเอง อย่าไหล่ห่อ อย่านั่งหลังค่อม
- 3. วางแผนการเคลื่อนไหวบนโต๊ะทำงาน โดยการจัดโต๊ะทำงาน หรือพื้นที่ทำงานให้เหมาะสม ควรจัดวางของที่ต้องใช้ให้ใกล้ตัว ใกล้มือ จะได้ไม่ต้องเอี้ยวตัวอยู่บ่อยครั้ง และไม่ต้องก้มตัวขึ้นลง หันซ้ายหันขวา ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเคล็ดได้
- 5. เมื่อเกิดอาการปวดเมื่อย อย่าฝืนร่างกาย ให้เดินไปดื่มน้ำ ไปเข้าห้องน้ำ 3-5 นาที ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้แล้ว และเป็นการป้องกันปัญหาได้อีกด้วย
- 6. การระมัดระวังเรื่องความเครียด เพราะความเครียดทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี การรักษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมด้วยวิธีต่างๆ นั้นเป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุ เพื่อรักษาอาการกล้ามเนื้ออักเสบหรือรักษาพังผืดในกล้ามเนื้อ วิธีการที่ดีที่สุดที่จะป้องกันอาการจากออฟฟิศซินโดรมจำเป็นต้องทำร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การปรับอิริยาบถในการทำงานให้ถูกต้อง รวมถึงการเสริมสร้างสุขภาพกายและใจให้สมบูรณ์แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยลดการเกิดอาการบาดเจ็บต่างๆ ที่จะมาบั่นทอนคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างถาวร
ข้อมูลจาก https: CIMBThai , https://www.shawpat.or.th , www.bumrungrad.com , https://women.sanook.com
Cleaning, TIPS & TRICK
การทำความสะอาดหลังงานปาร์ตี้

การทำความสะอาดหลังงานปาร์ตี้
เชื่อแน่ว่า หลายๆ คนต้องกุมขมับหลังจากตื่นขึ้นมาเจอสภาพบ้านหลังงานปาร์ตี้ที่สนุกสุดเหวี่ยงเมื่อคืน แต่กำลังเป็นเรื่องหนักอกในการทำความสะอาด เสียนี่! วันนี้ ELVIRA มีเคล็ดลับการทำความสะอาดคราบต่างๆ หลังงานปาร์ตี้มาบอกเล่า แฟนๆ ที่ชอบปาร์ตี้อ่านเคล็ดลับนี้แล้วจะหมดความหนักอกหนักใจได้อย่างแน่นอนค่ะ

การขจัดคราบเขม่าบนผนังห้องครัว
ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำธรรมดาเพื่อกำจัดฝุ่นก่อน หลังจากนั้นผสมน้ำยาซักผ้าขาวประมาณ 2 ถ้วย น้ำอุ่น 1 ถัง และน้ำสบู่ประมาณ 6 ถ้วย ผสมให้เข้ากันแล้วใช้ผ้าชุบน้ำยาที่ผสมแล้วเช็ดผนังคราบเขม่าที่เลอะ คราบสกปรกก็จะหมดไป
การขจัดคราบน้ำมันบนเตาแก๊ส
ใช้น้ำต้มข้าวข้นๆ เช็ดบนเตาแก๊ส แล้วรอให้น้ำข้าวแห้งจับตัวเป็นแผ่นแล้วลอกออก คราบน้ำมันก็จะติดมากับแผ่นน้ำข้าวแห้ง หรือให้น้ำข้าวหรือน้ำต้มบะหมี่แบบเจือจางล้างเตาแก๊สก็สามารถกำจัดคราบน้ำมันบนเตาแก๊สได้
การขจัดคราบน้ำมันในห้องครัว

บริเวณที่เลอะน้ำมันมากให้ฉีดน้ำยาทำความสะอาดห้อง
แล้วให้ใช้กระดาษทิชชูปูทับ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
คราบน้ำมันส่วนใหญ่จะติดมากับกระดาษทิชชู
แล้วเช็ดซ้ำอีกครั้งด้วยทิชชูก็จะทำให้บริเวณนั้นสะอาด
การขจัดคราบเปื้อนจากซอส
คราบเปื้อนจากบรรดาซอสต่างๆ กำจัดได้ง่ายๆ ด้วยการแช่ผ้าลงในน้ำเย็นผสมสบู่ล้างมือ 1/2 ช้อนชา กับน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด ถ้ายังมีคราบหลงเหลืออยู่ให้ทำความสะอาดอีกครั้งด้วยน้ำยาขจัดคราบไคล แล้วซักทำความสะอาดอีกครั้งด้วยน้ำอุ่น จากนั้นเป่าให้แห้ง แต่ถ้าคราบยังฝังแน่นอยู่ ให้แช่ผ้าในน้ำยาซักผ้า 20 นาที จากนั้นก็ซักทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นอีกครั้ง อย่าใช้ความร้อนเช่น การ ใช้ไดร์เป่าแห้งเด็ดขาด หรือรีดในขณะที่คราบยังไม่หมดไป เพราะความร้อนเหล่านี้จะยิ่งทำให้คราบฝังแน่นขึ้นไปอีก
คุณสามารถแช่ผ้าที่เปื้อนซอสกับน้ำยาขจัดคราบไคลของ RIKA แล้วขยี้ผ้าบริเวณที่เปื้อนจนไม่เหลือคราบ แล้วจึงล้างน้ำสะอาด หากคราบยังออกไม่หมด แนะนำให้ใช้น้ำยาขจัดคราบไขมันของ RIKA ทำความสะอาดเฉพาะจุดที่เปื้อน เพียงเท่านี้ผ้าก็กลับมาสะอาดใหม่ใช้ได้เหมือนเดิมจ้า
การขจัดคราบไวน์แดงสุดหรู

คราบนี้บ่งบอกได้เลยว่าคุณมีฐานะมากเลยทีเดียว
แต่อาจจะเสียเซลฟ์กันบ้างถ้าคราบนี้เกิดขึ้นในเวลาสำคัญๆ
มาแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนกัน ด้วยการเปิดน้ำให้ไหลผ่านจุดที่มีคราบไวน์
จากนั้นใช้เกลือถูรอบๆ คราบ แล้วทิ้งไว้ 10 นาที ให้เกลือดูดคราบออก
ก่อนนำไปซักด้วยน้ำเย็นก็จะเห็นผลทันทีหรือจะใช้น้ำยาขจัดคราบไขมัน
ของ RIKA ทำความสะอาดเฉพาะจุดที่มีคราบไวน์แดง ก็เอาอยู่เช่นกัน
จุดรอยเปื้อนบนพรม
คุณแม่บ้านหลายท่านต้องกุมขมับ เพราะพรมสกปรกเป็นจุดเล็กๆ เต็มไปหมด ครั้นจะจ้างช่างมาซักก็ดูเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าอย่างนั้นมาลองสูตรแจ่มๆ ที่คุณไม่ต้องยกหูจ้างใครมาช่วย แค่ผสมน้ำส้มสายชู ¼ ถ้วยตวงกับน้ำเปล่า ¼ ถ้วยตวงขัดล้างตรงบริเวณที่มีรอยคราบ เพียงเท่านี้พรมก็กลับมาสะอาดเหมือนเดิมแล้วค่ะ
พื้นปาร์เก้
เป็นอีกวัสดุปูพื้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ก็ทำความสะอาดยากที่สุดเหมือนกัน เพราะถ้าไม่รู้หรือไม่ระวังแล้ว ตัวไม้จะสึก จะเป็นรอย กร่อนไปหมด สีซีดด่าง และไม่สวยเลย เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดคือการใช้เครื่องดูดฝุ่นหรือไม้กวาดกำจัดเอาเศษผงออกไปรอบนึงก่อน จากนั้นใช้ผ้าหมาดๆ เช็ดซ้ำอีกที แต่มีข้อควรระวังคือ ห้ามใช้ของที่มีฤทธิ์เป็นกรดเด็ดขาด เพราะจะกัดเนื้อไม้จนเสียได้
พื้นกระเบื้องหิน
วิธีทำความสะอาดแบบเบสิคที่สุดคือ ให้ไปซื้อน้ำยาสำหรับทำความสะอาดพื้นผิวจำพวกหิน หินห่อน หรือหินปูนโดยเฉพาะ นำมาละลายกับน้ำให้เจือจาง จากนั้นใช้ไม้ถูพื้นมาดูตามปกติ อย่างไรก็ตาม อย่าลืมเป็นอันขาดว่าไม่ควรใช้ของเหลวจำพวกกรด เพราะจะทำลายเนื้อหินและเกิดรอยด่างได้

สำหรับแฟนพันธุ์แท้ ของ ELVIRA ที่มีเครื่องทำความสะอาด
ระบบไอน้ำรุ่น C2 อยู่แล้ว ก็สามารถใช้เครื่องนี้ทำความสะอาดคราบเขม่า
บนผนังห้องครัว, คราบน้ำมันบนเตาแก๊ส, คราบรอยเปื้อนบนพรม,
คราบที่พื้นบ้านทั้งพื้นกระเบื้องหินรวมทั้งพื้นปาร์เก้
ก็สามารถทำความสะอาดได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้สารเคมีทั้งสะอาด
ปลอดภัย และสามารถทำได้ด้วยตัวเอง
แค่นี้ก็ทำให้ เรื่องยากๆ ของการ ทำความสะอาด ให้กลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นแล้ว
ลองทำความสะอาดตามทริคที่ว่านี้ดูสิคะ แล้วคุณจะรู้ว่าคราบที่หนักอกตอนเริ่มต้นจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน
ข้อมูลจาก : kapook.com, food.mthai.com, www.cleanipedia.com, www.iurban.in.th/review/elvirac2
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cooking, TIPS & TRICK
แกนสับปะรด ประโยชน์ดีๆ ที่ถูกมองข้าม

แกนสับปะรด ประโยชน์ดีๆ
ที่ถูกมองข้าม
คนส่วนใหญ่เวลาปอกสับปะรดก็มักจะหั่นเอาแต่เนื้อแล้วโยนเปลือกและแกนแข็งๆ
สีขาวๆ ทิ้งขยะไป โดยหารู้ไม่ว่าเรากำลังทิ้งของดีไปเสียแล้ว เพราะแกนสับปะรด
หรือไส้กลางแข็ง ๆ นี่แหละที่มีประโยชน์และสารอาหารมากกว่าที่คิด ELVIRA
เลยรีบหยิบเอาประโยชน์ของแกนสับปะรดมาบอกไว้ก่อน
ที่จะโยนทิ้งลงขยะเหมือนเคย
คุณประโยชน์จากแกนสับปะรด

สับปะรดมีถิ่นกำเนิดในพื้นที่เขตร้อนบริเวณ
ประเทศบราซิลถูกใช้เป็นพืชสมุนไพรกันอย่างแพร่หลาย
ในสับปะรดจะมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า บรอมีเลน (BROMELAIN)
มีสรรพคุณในการย่อยสลายโปรตีน จึงนิยมนำไปหมักกับเนื้อสัตว์ต่างๆ
เพื่อให้เนื้อนุ่มน่ากิน ตำราแพทย์แผนโบราณ
แนะนำให้กินสับปะรดหลังกินอาหารเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของกระเพาะ
ลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระเพาะ และไม่ทำให้แน่นท้องหลังกินอาหาร
- มีฤทธิ์ช่วยย่อยอาหาร ถ้ามื้อไหนทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์เข้าไปมากๆ จนจุกเสียด แน่นท้องให้ทานสับปะรดเข้าไปหลังรับประทานอาหารจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้
- สมานแผลและลดการอักเสบ ของกระเพาะอาหารและลำไส้เพราะเอนไซม์บรอมีเลนมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้ออ่อน ๆ คอยทำลายแบคทีเรียที่ไม่มีประโยชน์
- ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ
- ช่วยแก้ท้องผูกได้เพราะมีกากใยมาก แต่ก็ไม่ควรทานมากไป เพราะอาจจะทำให้ท้องเสีย
- มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา แก้นิ่ว
- ป้องกันการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด อัมพฤกษ์อัมพาตเพราะเอนไซม์บรอมีเลนจะไปช่วยลดการเกาะกันเป็นลิ่มเลือดของเกล็ดเลือด
- เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย ต่อต้านโรคมะเร็ง นั่นเพราะบรอมีเลนจะทำให้เม็ดเลือดขาวหลั่งสารไซโตไคน์ ที่ทำให้เม็ดเลือดขาวกำจัดเซลล์มะเร็งได้ ช่วยลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่
- กระตุ้นฮอร์โมนเพศชาย ช่วยเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรน ถือเป็นยาบำรุงกำลังชั้นดีให้คุณผู้ชาย
- บรรเทาโรคเกาต์ได้ โดยทานสับปะรด 1/4 ผล (ขนาดเล็ก) วันละ 2-3 ครั้ง หลังอาหาร 1 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อให้เอนไซม์บรอมีเลนช่วยต้านการอักเสบ ลดความเจ็บปวดจากการอักเสบ
- ลดอาการปวดข้อ ข้ออักเสบ หลังจากออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาหนัก ๆ
ข้อควรระวังในการกินสับปะรด
- ไม่ควรทานตอนท้องว่าง เพราะเป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์มาก มีรสเปรี้ยว ทานแล้วอาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร
- ไม่ควรทานสับปะรดดิบ เพราะมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง และก็ไม่ควรทานสับปะรดที่สุกเกินไป เพราะอาจเริ่มเน่า แล้วทำให้ท้องเสียได้
วิธีทานสับปะรดไม่ให้แสบลิ้น
หลายคนอาจจะกลัวว่าเวลาทานสับปะรดแล้วจะแสบลิ้นและปาก ซึ่งถ้าเรารู้จักทานอย่างถูกวิธีก็ไม่ต้องกลัวว่าจะแสบลิ้นตามมาร
โดยเวลาทานสับปะรดต้องทำแบบนี้
- ใช้มีดเฉือนเปลือกออกจนหมด
- จากนั้นใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียง
- ตัดเป็นชิ้น แล้วเอาเกลือทาให้ทั่ว หรือแช่ในน้ำเกลืออ่อน ๆ ประมาณ 2-3 นาที แล้วทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือจะช่วยทำให้เอนไซม์บรอมีเลนที่มีฤทธิ์เป็นกรด ปรับเปลี่ยนโครงสร้างไม่สามารถเกิดปฏิกิริยากับอวัยวะในปาก และยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid จึงไม่ทำให้เกิดอาการแพ้จนแสบลิ้น
เมื่อทราบประโยชน์ของแกนสับปะรดแล้ว คราวหน้าเวลาหั่นสับปะรดก็ควรหั่นเนื้อมาพร้อมกับแกนกลางด้วยจะดีกว่าทานแต่เนื้ออย่างเดียวนะคะ
หากใครอยากลองเปลี่ยนวิธีการทานสับปะรดจากหั่นเป็นชิ้นมาเป็นน้ำสับปะรดปั่นแทน ELVIRA เราก็มีเครื่องปั่นเอนกประสงค์ POWER BLENDER ที่ปั่นเนื้อสับปะรดได้อย่างละเอียด แบบไม่ต้องแยกกากทิ้งทำให้เรารับคุณค่าทางสารอาหารที่มีอยู่ในสับปะรดได้อย่างครบถ้วน
ข้อมูลจาก : คุณพรปวีณ์ บุญเรือง, www.medthai.com, www.share-si.com, www.health.kapook.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
ELVIRA Blender Grab & Go - Strawberry
เครื่องปั่น ELVIRA รุ่น Grab & Go - สีชมพู
เครื่องปั่นอเนกประสงค์เป็นเครื่องปั่นเล็กที่มีความกระทัดรัด พกพาได้สะดวกพกติดตัวได้ ความละเอียดของอาหาร (ขึ้นอยู่กับการปั่นโดยเฉลี่ยต่อการปั่นจะใช้เวลาเพียง 30-35 วินาทีเท่านั้น)Elvira Power Blender-Rainbow(Soda)
เราสร้างสรรค์เครื่องปั่นคุณภาพเยี่ยม ให้กับคนรักสุขภาพตัวจริงElvira Power Blender-Rainbow(Grape)
เราสร้างสรรค์เครื่องปั่นคุณภาพเยี่ยม ให้กับคนรักสุขภาพตัวจริงElvira Power Blender-Rainbow(Banana)
เราสร้างสรรค์เครื่องปั่นคุณภาพเยี่ยม ให้กับคนรักสุขภาพตัวจริงCooking, TIPS & TRICK
5 อาหารที่ไม่ควรนำเข้าเตาไมโครเวฟ

5 อาหารที่ไม่ควรนำเข้าเตาไมโครเวฟ !
เตาไมโครเวฟกลายเป็นสิ่งจำเป็นในวิถีชีวิตที่รีบเร่งในปัจจุบัน เพราะความสะดวกสบายรวดเร็วทันใจในการอุ่นอาหารแต่มีอาหารบางชนิดที่ไม่เหมาะกับการอุ่นหรือปรุงด้วยไมโครเวฟด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและคุณค่าทางสารอาหารที่หายไป วันนี้ ELVIRA จึงคัดเอาอาหารที่เป็นอันดับต้นๆ ที่หลายๆ คนคงเคยเอาอาหารเหล่านี้เข้าไมโครเวฟกันบ้างละ
1. เนื้อสัตว์แช่แข็ง

การนำเอาเนื้อสัตว์แช่แข็งไปละลายในไมโครเวฟ เป็นการกระตุ้นให้เชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ในเนื้อสัตว์ เจริญเติบโตขึ้น ดังนั้นเมื่อละลายน้ำแข็งแล้วจึงควรทำให้หมดในครั้งเดียว ไม่ควรเก็บไว้ทำอาหารในครั้งต่อไป นอกจากนี้ผลการวิจัยจากญี่ปุ่นเผยว่า การนำเอาเนื้อสัตว์ไปทำอาหารในไมโครเวฟเกิน 6 นาที จะทำให้วิตามิน B-12 ในเนื้อสัตว์ลดลงไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว วิธีการที่ดีที่สุดในการละลายน้ำแข็งของเนื้อสัตว์แช่แข็งก่อนที่จะนำออกมาปรุงคือให้นำไปแช่น้ำหรือแช่ตู้เย็นช่องธรรมดาล่วงหน้า 1 คืนถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการละลายในไมโครเวฟ
2. ไข่ดิบทั้งใบ
บางคนอาจยังไม่เคยรู้ หากเรานำไข่ดิบเข้าไมโครเวฟ ไข่อาจระเบิดได้ เพราะภายในไข่มีน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อทำให้น้ำในไข่ร้อนด้วยคลื่นไมโครเวฟจะทำให้ของเหลวภายในไข่ร้อน สุก หรือเดือดระอุอยู่ภายในจนทำให้เกิดแรงดันภายในไข่ขึ้น และถ้าแรงดันมีมากๆ ก็จะดันจนเปลือกไข่แตก กลายเป็นไข่ระเบิดออกมา ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าไข่มีเปลือกแข็งและมีเยื่อหุ้มไข่ขาวที่เหนียว ทำให้สามารถทนรับแรงดันได้สูง ไมโครเวฟทำให้น้ำในไข่ร้อนจนกลายเป็นไอ เมื่อเรานำไข่ที่ผ่านความร้อนแล้วออกมาตอกข้างนอกหรือกะเทาะเปลือกไข่หรือเพียงแค่เปลือกไข่ถูกกระแทกเบาๆ แรงดันทั้งหมดก็จะพุ่งออกมาจากจุดที่ถูกกะเทาะนั้นทำให้เกิดระเบิดออกมาพร้อมกันในคราวเดียวได้ และอันตรายที่จะเกิดตามมาคือเนื้อไข่ร้อนๆ ก็จะพุ่งออกมา หากโดนหน้าตาก็อาจจะเกิดพุพองหรือเศษเปลือกไข่อาจจะกระเด็นเข้าตาได้

การลวกไข่หรือทำอาหารจากไข่ในไมโครเวฟให้ปลอดภัย ควรตอกไข่ออกจากเปลือกเสียก่อน แล้วใช้ส้อมหรือไม้จิ้มฟันเล็กๆ จิ้มไข่แดงให้แตกก่อนเข้าไมโครเวฟ หรือเปลี่ยนมาเป็นการต้มทั้งใบ โดยใส่ไข่ดิบลงในถ้วยที่เติมน้ำจนท่วมไข่ แล้วใส่เกลือลงไป 1 ช้อนชา เพื่อให้เกลือลดแรงดันในไข่ไม่ให้ระเบิดออกดีกว่าการนำไข่ทั้งฟองเข้าในไมโครเวฟ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อทั้งเครื่องไมโครเวฟและบุคคลที่ใช้งานด้วย
3. น้ำเปล่า
น้ำเปล่าดูเป็นอะไรที่ไม่น่าเกิดอันตราย แต่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรจะนำเข้าไมโครเวฟเสียเท่าไร ทั้งนี้ก็เพราะไมโครเวฟจะทำให้น้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้น ยิ่งถ้าให้ความร้อนมาก น้ำก็จะเปลี่ยนสถานะเป็นไอน้ำอย่างรวดเร็ว ซึ่งพร้อมที่จะพุ่งระเบิดขึ้นมาจากภาชนะได้ง่ายๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานอย่างยิ่ง
ทางที่ดี การอุ่นน้ำด้วยไมโครเวฟควรใช้ช้อน (ที่เข้าไมโครเวฟได้) หรือตะเกียบไม้ลงไปในแก้วด้วย เพื่อให้น้ำมีจุดเกาะและกลายเป็นไอโดยไม่ระเบิดออกมา หรือถ้าต้องการอุ่นน้ำให้ร้อนเพื่อชงกาแฟ ให้เทกาแฟหรือนม ผสมลงไปกับน้ำพร้อมกันเลยเพื่อลดการเกิดแรงดันสูงของน้ำค่ะ
4. ผัก
การใช้ความร้อนในการทำอาหารประเภทผัก ไม่ว่าจะเป็น นึ่ง หุง ต้ม ผัด หรือทอด ต่างก็ทำให้สูญเสียสารอาหารในผักทั้งสิ้น ทั้งนี้อัตราการสูญเสียก็แล้วแต่วิธีการที่แตกต่างกันไป และจากผลการวิจัย การนำผักบล็อคโคลี่ไปใช้กับไมโครเวฟ ทำให้สูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักถึง 97% เลยทีเดียว

การใช้ความร้อนปรุงอาหารประเภทผักนั้น หากใช้ความร้อนสูงเป็นเวลานานๆ จะทำให้สารอาหารสำคัญๆในผักถูกความร้อนทำลาย ดังนั้นเพื่อคงคุณค่า สารอาหารในผักเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ควรปรุงด้วยเตาแก๊ส อุณหภูมิปานกลาง และไม่ปรุงจนสุกเกินไป
5. ขนมปัง
หลังจากที่คุณนำขนมปังเข้าไมโครเวฟเพียง 10 วินาที ขนมปังที่เคยนุ่มลิ้นจะกลายเป็นแข็งจนกินไม่ได้ นั้นเพราะความร้อนจากไมโครเวฟจะไปทำให้ขนมปังสูญเสียความชุ่มชื่น ซึ่งส่งผลให้ขนมปังแข็งกระด้างจนกินไม่ได้ หากต้องการอุ่นขนมปังให้ร้อนแนะนำให้ปิ้งในเครื่องปิ้งขนมปังจะดีกว่า
ไมโครเวฟอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงเวลาที่เร่งรีบ แต่การจะนำอาหารชนิดหรือประเภทไหนเข้าเตาไมโครเวฟนั้นควรให้ความใส่ใจในรายละเอียดมากพอสมควร เพื่อความปลอดภัยและเพื่อสุขอนามัยของตัวเราเองนะค่ะ


หากใครที่กังวลเรื่องคลื่นรังสีจากเตาไมโครเวฟ ELVIRA ก็มีทางเลือกสำหรับคนที่รักสุขภาพ คือ JET STEAMER เครื่องนึ่งแรงดันสูง ในการอุ่นอาหารให้ปลอดภัยและรวดเร็วไม่แพ้
เตาไมโครเวฟ ไม่ว่าจะใช้ตุ๋น อุ่น นึ่ง หุงข้าว ก็สามารถทำได้ในเครื่องเดียวประหยัดเวลา ประหยัดค่าไฟและใส่ใจสุขภาพได้ในเครื่องเดียว สนใจหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.elvira.co.th
ข้อมูลจาก : www.girlsfriendclub.com, www.undubzapp.com, www.สุขภาพน่ารู้.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cooking, TIPS & TRICK
ประโยชน์ของการดื่มนม

ประโยชน์ของการดื่มนม
นม เป็นอาหารที่ยอมรับกันว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง ครบถ้วนด้วยสารอาหารหลัก 5 หมู่ นมมีโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอมิโนครบถ้วนทุกชนิด โดยเฉพาะชนิดที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย เช่น ทริปโตเฟน อาร์จินีน (Arginine) ไลซีน วาลีน (Valine) ลิวซีน ไอโซลิวซีน มีไขมันที่เรียกว่า มันเนย ให้พลังงานสูง โดยมันเนย 1 กรัม ให้พลังงานถึง 9 แคลอรี คาร์โบไฮเดรตในนม คือ น้ำตาลแล็กโทส (Lactose) เป็นน้ำตาลชนิดเดียวที่มีในนม ให้พลังงานในอัตรา 1 กรัม ต่อ 4 แคลอรี นมอุดมด้วยเกลือแร่หลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟัน ทั้งยังมีวิตามินต่าง ๆ ครบถ้วน เช่น วิตามินเอ บี 1 บี 2 ไนอะซิน (Niacin) กรดแพนโทเทนิก (Pantothenic acid) ไพริดอกซิน (Pyridoxine) ไบโอทิน (Biotin) กรดโฟลิก วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเค ELVIRA จึงได้รวบรวมคุณประโยชน์ของการดื่มนมว่าคุณค่าสารอาหารที่กล่าวมาข้างต้นมีประโยชน์กับร่างกายเราอย่างไรบ้าง อ่านแล้วอาจจะทึ่งในประโยชน์ของ “นม” กันเลยทีเดียว
- น้ำนมมีสารอาหารครบ 5 หมู่จึงช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย
- นม ช่วยทำให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค
- ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายในวัยผู้ใหญ่ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะ
- ไขมันจากนมช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย (ปกติเราจะเรียกว่า “มันเนย”)
- ช่วยให้กระดูกเจริญเติบโตและแข็งแรง ซึ่งจำเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเด็กในช่วงก่อนเข้าวัยรุ่นและช่วงวัยรุ่น มีความสำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการทางร่างกายและสมองของเด็ก ๆ
- ช่วยบำรุงประสาท (วิตามินบี 1) ช่วยบำรุงหัวใจ (วิตามินบี 1)
- ช่วยในการทำงานของระบบเซลล์ผิวหนัง (วิตามินบี 2)
- ช่วยทำให้ระบบประสาทไวต่อสิ่งเร้ามากขึ้น (แคลเซียม)
- ช่วยทำหน้าที่ยืดและหดตัวของกล้ามเนื้อ (แคลเซียม)
- มีส่วนช่วยลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ (แคลเซียม)
- ช่วยทำให้เลือดแข็งตัว (แคลเซียม) และช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง (วิตามินบี 12)
- ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด (วิตามินดี)
- ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย (วิตามินบี 1)
- นมสามารถนำไปผลิตเป็น เนย ชีส ครีม โยเกิร์ต ไอศกรีมได้
- มีงานวิจัยชี้ว่านมช่วยลดน้ำหนักตัวได้ ซึ่งจากการศึกษาโดยใช้นมพร่องมันเนยในเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนักพบว่ากลุ่มที่ดื่มนมพร่องมันเนยสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่ม
- ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
- ดื่มนมในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่นแล้วจะช่วยทำให้ตัวสูงขึ้น เพราะแคลเซียมจะช่วยทำให้กระดูกยาวขึ้น ทั้งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกในวัยเด็ก
- ช่วยป้องกันการเกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อ (วิตามินดี)
- ช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารเป็นปกติ ทำให้ขับถ่ายได้สะดวก ป้องกันอาการท้องผูก (นมเปรี้ยว)
วิธีการดื่มนมอย่างถูกวิธี
การดื่มนมทุกวัน ย่อมทำให้สุขภาพร่างกายดี และการดื่มนมนั้น หากไม่เลือกเวลาดื่มอาจจะไม่ได้ประโยชน์อย่างที่กล่าวไว้เบื้องต้นก็เป็นได้ มาดูช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดื่มนมกันดีกว่าเพื่อให้ร่างกายของเรานั้นได้ซึมซับกับของที่มีประโยชน์มากที่สุด
05.00 น.- 07.00 น. กระตุ้นลำไส้ใหญ่ ช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่ของเรานั้นมีการทำงานและเคลื่อนไหวมากที่สุด หากเราได้ดื่มนมสด หรือนมเปรี้ยวเข้าไปในเวลานั้น จุลินทรีย์จะเข้าไปทำหน้าที่เคลือบลำไส้ใหญ่ ให้มีการไหลลื่นสิ่งของที่เกาะลำไส้ของเราไหลลงสู่ทวารหนัก และจะทำให้ร่างกายของเรานั้นไม่เก็บของเสียไว้ในร่างกาย
07.00 น.- 09.00 น. กระตุ้นการทำงานของกระเพาะ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ร่างกายของเราต้องการพลังงานมากที่สุด นอกจากต้องการอาหารมื้อเช้าอย่างมากแล้ว หากเราได้ดื่มนมเข้าไปจะทำให้ร่างกายของเรานั้นสดชื่นมากกว่าที่เคยเป็น เพราะอาหารจะเป็นตัวช่วยดูดซับน้ำนมที่เราดื่มเข้าไปในช่วงเช้าส่งสารอาหารเข้าไปเลี้ยงสมองทำให้เรารู้สึกปลอดโปร่งในทุกๆ วัน

09.00 น.- 12.00 น. กระตุ้นการทำงานสมอง ช่วงเวลาของอาหารมื้อเช้าได้หมดลงไป และร่างกายต้องการพลังงานเพิ่มเติมในช่วงที่ 2 หากเรารับประทานนมเข้าไป ร่างกายจะตอบสนองในด้านความจำ การเรียนรู้เพิ่มขึ้น รวมไปถึงการทำงานในวันนั้นๆ ด้วยเช่นกัน
12.00 น. – 15.00 น. กระตุ้นการทำงานของลำไส้เล็ก การกระตุ้นลำไส้เล็ก เหมาะสำหรับท่านที่ชอบทานนมที่มีไขมันต่ำ 0 เปอร์เซ็นต์
ถึงแม้ว่านมจะมีประโยชน์มากมาย แต่บางคนดื่มนมแล้วจะเกิดอาการท้องเสีย โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่ เนื่องจากร่างกายของคนแถบเอเชียจะมีน้ำย่อยสำหรับน้ำตาลแล็กโทสเพียงช่วงตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 4-5 ปี หลังจากนั้นน้ำย่อยจะค่อยๆ ลดลงจนหมดไป เมื่อดื่มนมเข้าไป น้ำตาลที่ไม่ถูกย่อยจะทำปฏิกิริยากับจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารจนเกิดกรดและแก๊ส ทำให้มีอาการแน่นท้อง ท้องอืด จุกเสียด และท้องเสีย
ยุคปัจจุบัน มีคนไทยจำนวนมากเติบโตในยุคที่รณรงค์ส่งเสริมถึงคุณประโยชน์ของนม จึงได้ดื่มนมอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ แบคทีเรียในลำไส้จะสร้างน้ำย่อยตัวนี้ขึ้นมา จึงไม่เกิดปัญหาการย่อยนมที่ดื่ม สามารถปรับแก้ได้โดยการเริ่มดื่มนมวันละครึ่งแก้ว หรือ 4-5 อึก เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างน้ำย่อย แล้วค่อยเพิ่มปริมาณนมขึ้นเรื่อย ๆ จนดื่มได้เป็นปกติ หรืออาจเลือกกินผลิตภัฑณ์นมอื่น ๆ อย่างโยเกิร์ตหรือเนยแข็งแทน
ข้อควรระวัง
- บางคนคิดว่าการรับประทานยาพร้อมกับนมจะมีประโยชน์กับร่างกาย คุณคิดผิดแล้ว ! เพราะมันอาจจะส่งผลกระทบต่อการดูดซึมของยาได้ ทำให้ความเข้มข้นของยาในเลือดลดลง ดังนั้น คุณไม่ควรดื่มนมก่อนหรือหลังรับประทานยา 1-2 ชั่วโมง
- สำหรับใครที่ชอบดื่มนมอุ่นๆ การต้มนมให้เดือดด้วยอุณหภูมิสูงถึง 100 องศาเซลเซียส อาจจะทำให้น้ำตาลในนมไหม้เกรียมได้ ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ แคลเซียมเกิดตะกอนทำให้ดูดซึมได้ยากขึ้น ทางที่ดีการต้มเพื่อฆ่าเชื้อในนมใช้อุณหภูมิที่ 60 องศาเซลเซียสประมาณ 6 นาที หรือที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสประมาณ 3 นาทีก็เพียงพอแล้ว
- การเติมน้ำมะนาวหรือน้ำส้มลงในนมอาจจะไปทำลายโปรตีนในน้ำนมได้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
- คุณหรือลูกน้อยของคุณไม่ควรรับประทานข้าวต้มพร้อมกับการดื่มนม เพราะจะไปทำลายวิตามินเอในนมได้ และจะส่งผลให้เด็กเจริญเติบโตช้า
ถึงแม้นมจะมีคุณประโยชน์ที่หลากหลายก็ตาม แต่หากเราดื่มนมไม่ถูกวิธี หรือไม่ถูกช่วงเวลาก็มีส่วนทำให้เราไม่ได้รับคุณค่าทางสารอาหารที่ควรจะได้รับจากนมได้อย่างเต็มที่ เมื่อรู้ประโยชน์จากนมมากมายขนาดนี้แล้วใครที่ไม่ชอบดื่มนมคงต้องเปิดใจลองดื่มแล้วละ
ข้อมูลจาก : www.medthai.com, www.prayod.com, www.thaidanskmilk.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
การทำความสะอาดโซฟาหนัง

การทำความสะอาดโซฟาหนัง
โซฟา (Sofa) ถือว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเอกในบ้านสำหรับการต้อนรับแขกกันเลยทีเดียว ซึ่งโซฟาจะมีหลากหลายแบบ มีทั้ง แบบหนัง แบบผ้า ซึ่งผู้คนส่วนมากนิยมกันใช้แบบหนังมากกว่าแบบผ้า เพราะจะง่ายในการทำความสะอาด ฉะนั้นทุกบ้านควรหมั่นทำความสะอาดโซฟา ไม่ให้มีกลิ่นเหม็น ซึ่งมีวิธีในการรักษาโซฟา ดังนี้
โซฟาหนัง
หนังแท้เป็นหนังที่ได้จากสัตว์ ส่วนใหญ่จะเป็นหนังวัว จะมีอายุในการใช้งานได้นาน เพราะมีคุณสมบัติที่แข็งแรง ทนทานมากกว่าโซฟาชนิดอื่น และการทำความสะอาดก็ง่าย โดยไม่ต้องใช้เวลาในการดูแลรักษามาก
การทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์หนัง โดยเฉพาะโซฟานั้น ต้องมีวิธีการที่ถูกวิธีเพื่อให้มีความสะอาดและคงสภาพอันสวยงาม และต้องหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ พร้อมต้องมีความพิถีพิถัน เพื่อป้องกันการเสียหายของหนังโซฟาจากการทำความสะอาดที่ผิดวิธี ซึ่งการทำความสะอาด มีขั้นตอนดังนี้

1. ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดให้ทั่วโซฟา
โซฟานั้นจะมีช่องว่างระหว่างเบาะรองนั่งเราต้องดูดออกมาให้หมด จากนั้นเช็ดให้ทั่วด้วยผ้าสะอาดเนื้อนุ่ม
ขั้นตอนนี้จะทำให้ฝุ่นผงไม่ฝังติดกับหนังขณะคุณทำความสะอาดต่อในขั้นถัดไปในขณะที่ดูดฝุ่น ระวังชิ้นส่วนทำความสะอาดที่ทำจากพลาสติกด้วยล่ะ เดี๋ยวจะไปข่วนจนหนังเป็นรอย การทำความสะอาดคราบสกปรกออกไป โดยใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นพอหมาดๆ แล้วเช็ดถูที่เป็นคราบสกปรก วิธีนี้จะง่ายสุดในการทำความสะอาดโซฟาหนัง
2. ทดสอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดดูก่อน
โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดตรงบริเวณเล็กๆ ที่มองเห็นยากๆ ก่อนเพื่อทดสอบดูว่าใช้ได้ไหม จะทำให้หนังด่างหรือไม่ ระวังอย่าถือแรงเกินไปเพราะจะเป็นการกดให้คราบฝังแน่นลงบนหนังมากกว่าเดิม
3. เริ่มทำความสะอาดจากบริเวณที่สกปรกน้อยที่สุดก่อน
เริ่มทำความสะอาดจากบริเวณที่สกปรกน้อยที่สุด จากนั้นค่อยขยับไปทำความสะอาดบริเวณที่สกปรกกว่า คราบสกปรกจะได้ไม่กระจายเปลี่ยนหรือทำความสะอาดผ้าบ่อยๆ จุ่มผ้าลงในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและใช้ส่วนที่ยังสะอาดของผ้าเช็ดโซฟาจนทั่วบริเวณที่ต้องทำความสะอาด
- รอยเปื้อนจางๆใช้ผ้าชุบน้ำสบู่บิดหมาดเช็ดตรงบริเวณที่มีรอยเปื้อนวิธีนี้เหมาะสำหรับรอยเปื้อนจางๆ ขนาดใหญ่ซึ่งหากใช้น้ำยาสำหรับทำความสะอาดเครื่องหนังโดยเฉพาะแล้วจะกินเวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูงใช้สบู่จากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่มีความอ่อนโยนและไม่ประกอบด้วยสารโซเดียมลอริลซัลเฟตหรือสารอื่นๆ ที่ออกฤทธิ์คล้ายคลึงกันเพราะสบู่ที่มีฤทธิ์รุนแรงอาจทำให้หนังของโซฟาแห้งได้วิธีการนี้ยังใช้ได้ผลกับการทำความสะอาดคราบเหนียวที่ละลายได้ด้วยน้ำอีกด้วย ถูเบาๆ และซักน้ำบ่อยๆ บิดน้ำออกเพื่อที่ผ้าจะได้ไม่เปียกชุ่มเกินไปเช็ดสลับกับผ้าสะอาดแห้งๆ เพื่อเช็ดฝุ่นที่ไม่ได้เกาะแน่น พื้นผิวของโซฟาหนังจะได้ยังแห้งอยู่
*** สบู่ที่ใช้ทำความสะอาดเครื่องหนังควรมีฤทธิ์อ่อนโยนหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องหนังจากวัตถุดิบธรรมชาติซึ่งประกอบด้วยขี้ผึ้งและไม่มีผลิตภัณฑ์หรือสารทำละลายปิโตรเลียมมากนัก
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ใช้ดีที่สุดคือแบบแว็กซ์ไม่ใช่แบบน้ำมันเพราะแว็กซ์ทำความสะอาดจะช่วยทำให้พื้นผิวหนังชุ่มชื้นและแต่ไม่ชุ่มน้ำและช่วยในการระบายอากาศของหนังด้วย
- รอยเปื้อนเครื่องดื่มควรใช้ ผ้าสะอาด หรือฟองน้ำ เช็ดให้แห้ง แล้ว ใช้ผ้าชุบน้ำพอหมาดๆ เช็ดซ้ำอีกครั้งหากโซฟา ตั้งอยู่ในห้องปรับอากาศ ไม่จำเป็นต้องเช็ดบำรุงบ่อยนัก เพราะอาจทำให้โซฟาเกินความเสียหายได้ ถ้าหากมีฝุ่นเกาะ หรือเหงื่อ ควรใช้ผ้าสะอาดมาเช็ดออกทันที เพราะ ฝุ่นและเหงื่อ เป็นศัตรูสำคัญที่ทำให้โซฟาหนังเกินความเสียหาย
- คราบเชื้อราถ้ามีคราบเชื้อราหรือเห็ดราขึ้น สเปรย์น้ำส้มสายชูผสมน้ำฤทธิ์เจือจางลงไปบางๆ พยายามใช้น้ำส้มสายชูให้น้อยที่สุดและรีบเช็ดเพื่อที่โซฟาจะได้ไม่เปียกชุ่มเกินไปน้ำส้มสายชูเป็นสารฆ่าเชื้อโรคฤทธิ์อ่อนโยนและสามารถกำจัดคราบเชื้อราได้
- เปื้อนคราบหนักจริงๆน้ำยาทำความสะอาดเครื่องหนังควรใช้กับบริเวณที่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทั่วไปที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับใช้ทำความสะอาดเครื่องหนังโดยเฉพาะอาจทำลายน้ำมันตามธรรมชาติที่เคลือบบนหนังได้ ยิ่งไปกว่านั้น หนังอาจจะแห้งและแตกได้เลยทีเดียว เราจึงควรใช้เมื่อต้องการกำจัดคราบที่เอาออกยากจริงๆเท่านั้นกำจัดรอยเปื้อน. ขั้นตอนนี้จะได้ผลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับประเภทและความหนักหนาของรอยเปื้อนนั้นๆ รอยเปื้อนที่ฝังแน่นหรือมีสีที่ล้างออกยากอาจจะไม่ยอมถูกขจัดไปโดยง่าย
ถ้ารอยเปื้อนไม่ยอมหลุดออกง่ายๆ อย่าถูซ้ำๆ เพราะคุณอาจจะทำลายหนังได้จำไว้ว่าบางครั้งการทิ้งคราบไว้อย่างนั้นอาจจะดีกว่าทำให้แย่กว่าเดิมก็ได้ คุณอาจจะลองพลิกด้านเบาะรองนั่งดูก็ได้นะ
ถ้าลองทุกวิธีแล้วแต่ยังไม่ได้ผล ลองปรึกษานักทำความสะอาดมืออาชีพดู พวกเขาอาจจะช่วยคุณกำจัดรอยเปื้อนหรืออย่างน้อยก็อาจจะช่วยให้ข้อมูลเชิงลึกถึงวิธีการกำจัดรอยเปื้อนแบบที่คุณกำลังประสบอยู่ได้
4. เช็ดคราบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ตกค้างบนโซฟา
ใช้ผ้าสะอาดบิดหมาดเช็ดบริเวณเบาะรองนั่งอีกครั้ง ซักผ้าในน้ำสะอาดหลังจากการเช็ดแต่ละครั้ง รอบนี้ไม่ต้องจุ่มผ้าลงในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแล้วเพราะตอนนี้เราต้องการล้างคราบของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ออกให้หมด
5. เช็ดโซฟาให้แห้ง
ใช้ผ้าแห้งเช็ดเบาะรองนั่งและเป่าลมที่บริเวณที่ทำความสะอาดเพื่อที่โซฟาหนังจะได้แห้งเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้

6. เพิ่มความชุ่มชื้นให้หนัง
หลังจากเช็ดโซฟาหนังจนแห้งหมดแล้ว ทาผลิตภัณฑ์บำรุงหนังเคลือบบางๆ ให้ทั่วโซฟาและผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังที่ทำจากแว็กซ์จากธรรมชาตินั้นให้ผลดีที่สุด บำรุงโซฟาหนังให้ชุ่มชื้นเป็นประจำเพื่อที่หนังจะได้ยืดหยุ่นและได้รับการปกป้อง โดยคุณควรทำขั้นตอนนี้อย่างน้อยปีละครั้งนะ ใช้ผ้าสะอาดถูผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นจนทั่วโซฟาเพื่อที่หนังจะได้เงางาม
เคล็ดลับหากจะใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังหลังจากทำความสะอาดโซฟาแล้ว ดูให้ดีก่อนว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้มีฤทธิ์อ่อนโยนไหม อย่าใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นกับโซฟาหนังบ่อยเกินไป ทำทุกๆ หกถึงสิบสองเดือนก็พอแล้วล่ะ
คุณอาจจะต้องเจือจางผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบางอย่างด้วยน้ำก่อนที่จะนำมาใช้ อ่านวิธีใช้ข้างผลิตภัณฑ์ที่คุณซื้อมาให้ดีซะก่อน
ปัดฝุ่นโซฟาเป็นประจำเพื่อที่จะได้ทำความสะอาดง่ายขึ้น ใช้ผ้าแห้งเช็ดโซฟาหนังสัปดาห์ละครั้งเพื่อรักษาความสะอาด นอกจากนี้ คุณอาจจะใช้ผ้าคลุมโซฟาไว้ยามไม่ได้ใช้งานด้วยก็ได้
การเก็บโซฟาให้ห่างจากแสงแดดและความร้อนจะช่วยให้คุณรักษาลักษณะและสภาพของโซฟาไว้ได้
ทำความสะอาดคราบสกปรกหรือรอยเปื้อนให้เร็วที่สุดหลังจากทำเลอะ การกำจัดคราบเปื้อนที่ยังไม่แห้งและฝังแน่นง่ายกว่าเยอะเลยนะ

หากว่าขั้นตอนนี้ที่กล่าวมาข้างต้นดูมีหลายขั้นตอน แฟนๆ ELVIRA ที่มีเครื่องทำความสะอาดระบบไอน้ำ รุ่น C2 อยู่แล้ว ก็สามารถใช้เครื่อง C2 ทำความสะอาดโซฟาได้ โดยใช้ผ้าขนหนูที่แถมไป หุ้มหัวแปรงทำความสะอาดเบาะ แล้วใช้ไอน้ำพ่นทำความสะอาด จนคราบสกปรกนั้นหลุดติดมากับผ้าขนหนู แล้วเช็ดด้วยผ้าแห้ง ที่สะอาด จนไม่มีคราบไอน้ำ แล้วจึงลงแว็กซ์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงหนังเคลือบบางๆ ให้ทั่วโซฟา เพียง 3 ขั้นตอนเท่านี้ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ
คำเตือน อย่าใช้แอมโมเนีย สารฟอกสี หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดฤทธิ์รุนแรงกับเฟอร์นิเจอร์หนัง
อย่าลืมทดสอบผลิตภัณฑ์หรือวิธีทำความสะอาดที่บริเวณที่มองไม่ค่อยเห็นของโซฟาก่อนล่ะ
อย่าใช้น้ำในการทำความสะอาดมากเกินไป อย่าปล่อยน้ำค้างไว้บนหนัง
จุดที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ
การทำความสะอาดโซฟาหนังนั้น ยิ่งเราสัมผัสหนังน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีถ้ามีคราบสกปรกแค่ไม่กี่ที่ ทำความสะอาดเฉพาะบริเวณนั้นพอและแตะต้องบริเวณอื่นๆ ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้สำหรับบริเวณที่ยังพอสะอาดอยู่ แค่ใช้ผ้าสะอาดหมาดๆ (อย่าให้ถึงกับชุ่ม) เช็ดก็พอแล้วล่ะ
จำไว้ว่าหนังเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและหนังแต่ละชิ้นก็แตกต่างกันอย่างละนิดละหน่อย คุณอาจต้องลองทำความสะอาดหลายๆ วิธีก่อนจะเจอวิธีการที่เหมาะสมกับโซฟาของคุณมากที่สุด
ข้อมูลจาก : www.aseanliving.com, www.thaihometown.com, www.kapook.com, https://th.wikihow.com, https://excellamattress.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cooking, TIPS & TRICK
12 อาหารที่ควรทานในหน้าฝน

12 อาหารที่ควรทานในหน้าฝน
ฤดูฝนทีไร สิ่งที่มาพร้อมกับฝนก็คือ ไวรัสหวัดที่ทำให้คนเราไม่สบายและเป็นหวัดกันอยู่บ่อยๆ ใช่ไหมคะ การป้องกันนอกจากจะทำร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนเพียงพอ ไม่โดนฝนแล้วนั้น การเลือกทานอาหารก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน วันนี้ ELVIRA จึงนำเสนอเมนูอาหารที่เราควรทานในช่วงหน้าฝน มาฝากกันค่ะ
- ซุปไก่ น้ำต้มไก่ แกงข่าไก่
เมนูซุปไก่ร้อนๆ รวมทั้งน้ำต้มไก่ แกงข่าไก่ นอกจากจะทำง่ายกินง่ายแล้วยังเป็นเมนูคู่ใจที่ช่วยป้องกันหวัดได้ดีเลยทีเดียวเพราะน้ำที่ต้มไก่มีสรรพคุณในการต้านหวัดที่ทั่วโลกรู้กัน โดยมีรายงานวิจัยพบว่าซุปไก่มีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวชนิดที่เรียกว่า นิวโทรฟิลด์ ไปยังเนื้อเยื่อปอด ทำให้ลดกระบวนการอักเสบในปอดและลดอาการไอ อีกทั้งยังเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงด้วย เคล็ดลับง่ายๆ สำหรับเมนูนี้ก็คือ เมื่อเราตุ๋นซุปไก่เป็นเวลานานจะทำให้โปรตีนย่อยสลายกลายเป็นไดเปปไทด์ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายสดชื่น และยังให้โปรตีนที่ดีต่อร่างกายด้วย - แกงเลียง
สำหรับใครที่เป็นหวัดบ่อย ๆ บอกเลยว่าเมนูแกงเลียงเหมาะสำหรับเอาไว้ซดร้อนๆ เพื่อบรรเทาอาการหวัดให้หายเร็วขึ้น เพราะแกงเลียงเป็นอาหารที่มีรสชาติอร่อยเผ็ดร้อนมีเครื่องปรุงเป็นสมุนไพรหลากชนิด ทั้งพริกไทย หอมแดง บวบ น้ำเต้า ใบแมงลัก ตำลึง ข้าวโพด ซึ่งมีสรรพคุณในการบรรเทาอาการต่างๆ เวลาที่เป็นไข้หวัดค่ะ - แกงส้มมะละกอ
นอกจากจะเป็นเมนูที่ให้พลังงานและไขมันต่ำแล้วยังอุดมไปด้วยใยอาหารอีกด้วย เนื่องจากเป็นเมนูที่ใส่ผักต่างๆ หลายชนิดจึงทำให้มีประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายอย่างมากและเครื่องแกงของแกงส้มที่รสชาติเผ็ดร้อน ยังมีสรรพคุณในการต้านไวรัสด้วย

- แกงเผ็ด และ อาหารรสเผ็ดทุกชนิด
แกงที่มีพริกประเภทต่างๆ รวมถึงพริกไทยเป็นส่วนประกอบ จะช่วยทำให้หายใจโล่ง หายคัดจมูก นอกจากนั้นอาหารประเภทแกงเผ็ดยังประกอบไปด้วนสมุนไพรไทยมากมายที่ช่วยเสริมภูมิต้านทาน เช่น ใบมะกรูด ใบกระเพรา ใบโหระพา หอม เป็นต้น
- ผัดผักบุ้ง
ผักบุ้งเป็นผักที่หาทานง่ายในทุกฤดูกาลหลายคนมักจะเข้าใจเพียงแค่ว่าทานผักบุ้งเยอะๆ จะช่วยบำรุงสายตา แต่จริงๆแล้วประโยชน์ของผักบุ้งไม่ได้มีแค่นั้นนะคะเพราะการรับประทานผักบุ้งยังช่วยแก้ไอ ปวดศรีษะ และอาการร้อนในได้อีกด้วย

- แครอท
เป็นอาหารสุขภาพอีกชนิดที่ไม่ควรพลาด เพราะแครอทอุดมไปด้วยวิตามินเอที่ช่วยรักษาระบบคุ้มกันของร่างกายยิ่งฝนตกบ่อยแบบนี้หลายคนที่เป็นหวัดง่ายอย่าลืมทานแครอทกันนะคะ เพราะเจ้านี่แหละที่ช่วยต่อสู้กับเชื้อหวัดทำให้เราหายป่วยเร็วขึ้นอีกด้วย
- น้ำขิง
ขิงนอกจากจะช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ และช่วยย่อยอาหารแล้วน้ำขิงยังแก้อาการคลื่นเหียน เจ็บคอ และเสมหะ เป็นหวัดบรรเทาน้ำมูกไหลได้อีกด้วย นอกจากนี้น้ำขิงร้อนๆ ยังมีฤทธิ์ช่วยขับเหงื่อ แก้หวัดเย็น หรืออาการรู้สึกหนาวไข้ต่ำๆ เมื่อเริ่มมีฝนตกอากาศชื้นและเกิดอาการเซื่องซึม เฉื่อยชา เริ่มเป็นหวัดรีบดื่มน้ำขิงก็จะช่วยลดอาการได้อย่างดีขิงมีสารพวกแอนตี้ฮีสตามีนที่ช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ - หากใครที่เริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะไม่สบายลองชงน้ำขิงดื่มสักถ้วยรับรองว่าจะรู้สึกดีขึ้นจริงๆ ถือว่าเป็นเครื่องดื่มสุขภาพตัวจริงสำหรับหน้าฝนเลยทีเดียว ค่ะ
- น้ำหมักผลไม้
เครื่องดื่มอย่างน้ำหมักผลไม้ คุณแม่บ้านก็สามารถทำเก็บแช่ไว้ได้เองค่ะหากต้องการทำน้ำหมักผลไม้เราควรใช้ผลไม้รสเปรี้ยวอย่าง ส้ม มะนาว เกรปฟรุต สตรอว์เบอร์รี่ ฯลฯ เพราะผลไม้เหล่านี้มีวิตามินซีสูงจึงช่วยรักษาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานอย่างปกติ

- ชาร้อน
ชาร้อนทุกชนิดมีสารโพลิฟีนนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดอาการติดเชื้อ ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกชุ่มชื้นหายใจสะดวกการดึงคุณสมบัติแก้หวัดจากชาร้อนได้ดีที่สุดควรชงชาในน้ำร้อนตั้งทิ้งไว้ราว 1 นาที แล้วค่อยดื่มจึงจะได้ผลดีที่สุดค่ะ

- น้ำผักผลไม้
ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอท ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูป มะละกอสุก มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเช่น เบตาแคโรทีน (วิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี ซึ่งช่วยกำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อ และทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น

- กระเทียม
กระเทียมจะช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัดได้อย่างดี นักวิจัยชาวจีน ดร.เบนจามิน เลา แห่งมหาวิทยาลัยโลมาลินดาในแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษายารักษาโรคตามแบบแพทย์ตะวันออกมานาน ได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า กระเทียมมีกำมะถันเป็นองค์ประกอบซึ่งออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสหวัดได้โดยตรงและยังช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ใครที่ไม่ชอบทานกระเทียมเพราะกลิ่นของมันต้องหันมาให้ความสำคัญกับกระเทียมเพราะคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมแล้วละค่ะ
- โยเกิร์ต
โยเกิร์ตช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยเพิ่มการสร้างสารแอนติบอดี้บางชนิดได้ การศึกษากับอาสาสมัครทั้งคนหนุ่มและคนสูงอายุ พบว่าการรับประทานโยเกิร์ตทุกวันเป็นเวลา 1 ปี ช่วยลดอาการจากหวัดและภูมิแพ้ ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น และร้อยละ 25 เป็นหวัดน้อยลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทาน นอกจากนี้ โยเกิร์ตยังช่วยในเรื่องการขับถ่ายได้อีกด้วย
นอกจากการออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่ดีก็เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคในเราได้อีกทางหนึ่งนะค่ะ หน้าฝนแบบนี้อย่าลืมพกร่มติดตัวจะได้ไม่ต้องตากฝนจนเป็นหวัดนะคะ ด้วยความรักและห่วงใยจาก ELVIRA ค่ะ
ข้อมูลจาก : www.tescolotus.com, www.oknation.nationtv.tv
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
รู้จัก 6 โรคร้ายในหน้าฝน

รู้จัก 6 โรคร้ายในหน้าฝน
เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว สภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เชื้อโรคหลายชนิดสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว นำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ตามมามากมาย เพราะฉะนั้น ถ้าใครไม่อยากให้ตัวเองต้องป่วยเป็นโรคที่ระบาดกันอยู่นี้ก็ควรดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ELVIRA จึงรวบรวมโรคที่มักระบาดในหน้าฝน มาเพื่อให้แฟนๆ ได้รู้เท่าทัน และจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง เมื่อเป็นโรคเหล่านี้กันค่ะ
- โรคไข้เลือดออก
พาหะนำโรคไข้เลือดออกก็คือ “ยุงลาย” ร้อยละ 80 เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้านซึ่งจะวางไข่ในน้ำที่ขังอยู่ตามที่ต่าง ๆ ผู้ป่วยระยะแรกจะมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป ได้แก่ อาการไข้ หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีอาการปวดกระดูกหากได้รับเชื้อประมาณ 5-8 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง (38.5-41 องศาเซลเซียส) ติดต่อกัน 2-7 วัน บางรายเบื่ออาหาร ปวดท้อง อาเจียน จากนั้นจะมีจุดแดงเล็กๆ ขึ้นตามลำตัว หลังจากนั้นไข้จะลง พร้อมกับอาจจะมีอาการเลือดออกผิดปกติ มือเท้าเย็น หรือช็อกได้ ในรายที่มีอาการรุนแรงจะเกิดภาวะช็อกหลังไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ตัวเย็น ปากเขียว บางรายมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ถ่ายเป็นเลือด หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ภายใน 12-24 ชั่วโมงข้อควรระวังคือ ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก ห้ามทานยาแอสไพรินเด็ดขาด เพราะจะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้นหากใครที่มีไข้สูงมาก ไข้ไม่ยอมลง เบื่ออาหารรู้สึกอ่อนเพลีย เซื่องซึมให้รีบไปพบแพทย์ - โรคไข้มาลาเรีย
เกิดจากเชื้อโปรโตซัวที่มากับ “ยุงก้นปล่อง” ซึ่งมักอาศัยอยู่ในป่าตามแนวชายแดน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง หนาวสั่นเป็นพักๆ ในเวลาเดิมๆ แต่หากไปพบแพทย์ทันก็สามารถรักษาหายได้ด้วยการทานยาไม่กี่วัน แต่หากไปพบแพทย์ช้า ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะมาลาเรียขึ้นสมอง ภาวะปอดบวมน้ำ ภาวะไตวาย ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้อย่างไรก็ตามโรคมาลาเรียยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ฉะนั้น วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ อย่าให้ตัวเองถูกยุงกัด เช่น อาจทายากันยุง หรือนอนในมุ้งชุบสารเคมีคำแนะนำสำหรับโรคที่มียุงเป็นพาหะ· พยายามอย่าให้ถูกยุงกัด โดยการทายากันยุง และควรกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงเป็นประจำ ทั้งในแจกันดอกไม้ พลูด่าง หรือตู้รองกับข้าว จานรองกระถางต้นไม้- หากมีอาการไข้ และเพิ่งกลับจากการพักค้างแรมในป่ามา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย เพื่อรับการตรวจเลือดหาเชื้อมาลาเรีย
- โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ,โรคหวัด
เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทั้งร้อนจัด ฝนตก ก็ทำให้คนป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจได้ง่าย โดยเฉพาะโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรียในอากาศ โรคจากไวรัส ทำให้เป็นหวัดคัดจมูก คอติดเชื้อ เจ็บคอเป็นหลัก จากนั้นจะมีไข้เจ็บตามตัว อาจมีน้ำมูกร่วม แถมยังติดต่อกันได้ง่ายเพียงแค่การไอ จาม หรือมือที่เปื้อนน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ฉะนั้นแล้ว เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายสู่ผู้อื่น ควรใช้ผ้าปิดปากและจมูกเมื่อเวลาไอ จาม หรือจะสวมหน้ากากอนามัยก็เป็นวิธีป้องกันที่ดี ที่สำคัญ อย่าลืมหมั่นล้างมือบ่อยๆ เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่เราอาจจะไปสัมผัสมา หรือป้องกันไม่ให้เราแพร่เชื้อโรคไปสู่คนอื่น หลีกเลี่ยงการคลุกคลี หรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
และนอกจากโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่แล้ว ยังมีโรคคออักเสบ หลอดลมอักเสบ และโรคปอดบวมที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน ซึ่งโรคปอดบวมนี้ถือเป็นโรคอันตรายถึงชีวิตหากเกิดขึ้นกับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี หรือผู้สูงอายุ เพราะฉะนั้น หากพ่อแม่สังเกตว่า ลูกหลานมีไข้ ไอ หายใจเร็วหรือหอบเหนื่อย ต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที - โรคเยื่อตาอักเสบ หรือ โรคตาแดง
เป็นอีกหนึ่งโรคที่พบบ่อย ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส และติดต่อกันง่ายเพียงการสัมผัส หรือใช้ของส่วนตัวร่วมกัน รวมทั้งการใช้น้ำที่ไม่สะอาดล้างหน้า อาบน้ำ น้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา ก็ทำให้เยื่อตาอักเสบ และตาแดงได้
คำแนะนำคือ- ระวังอย่าให้น้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา หากมีน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตาแล้ว ให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทุกครั้งทันที
- อย่าใช้มือ แขน หรือผ้าที่สกปรกขยี้ตา หรือเช็ดตา
- อย่าใช้สิ่งของร่วมกับผู้ที่เป็นโรคตาแดง หรือเยื่อตาอักเสบ
- โรคฉี่หนู
เป็นโรคแพร่ระบาดได้ในพื้นที่ที่มีน้ำขัง หลายคนเข้าใจผิดว่า โรคฉี่หนูมีพาหะคือ “หนู” เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว พาหะของโรคฉี่หนู มีได้ทั้งสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข สุกร โค กระบือ รวมทั้งสัตว์ป่า และสัตว์ที่มีฟันแทะทั้งหลาย โดยเชื้อเหล่านี้จะปะปนอยู่ในน้ำและสิ่งแวดล้อมในที่ที่มีน้ำท่วมขัง จะได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายผ่านเข้าไปทางผิวหนังที่เป็นแผล รอยขีดข่วน เยื่อบุจมูก เยื่อบุตา เยื่อบุในช่องปากได้ง่าย ๆ
อาการเด่นๆ ของโรคนี้คือ หลังได้รับเชื้อประมาณ 1-2 อาทิตย์ จะมีไข้สูงเฉียบพลัน ทำให้ปวดตามเนื้อตัว ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่อง และโคนขาอย่างรุนแรง เบื่ออาหาร และตาแดง คอแข็ง สลับกับไข้ลด หากเป็นมากอาจมีจุดเลือดออกที่เพดานปาก หรือตามผิวหนัง จนกระทั่งตับวาย ไตวายได้เลยทีเดียวคำแนะนำ- สำหรับคนที่มีไข้ แต่ไข้ไม่สูงมาก ควรเช็ดตัวเพื่อลดไข้เป็นระยะ และรับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล แต่ห้ามใช้แอสไพรินเด็ดขาด
- หากต้องเดินย่ำน้ำท่วม หรือน้ำสกปรก ต้องล้างเท้าให้สะอาดทุกครั้งหลังจากย่ำน้ำแล้ว และใช้ผ้าสะอาดเช็ดเท้าให้แห้ง อย่าปล่อยให้เท้าเปียก อับชื้น
- นอกจากนี้ หากจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ต้องสวมใส่รองเท้าบูทให้เรียบร้อย
- โรคติดต่อทางน้ำและอาหาร
ที่พบบ่อยคือ ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ อาหารที่เราทานอาจได้รับเชื้ออีโคไลจากน้ำฝนที่ปนเปื้อน ทำให้ลำไส้อักเสบติดเชื้อ จึงทำให้เกิดความผิดปกติในระบบย่อยอาหารตามมา โรคท้องเดิน โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ ตับอักเสบ เป็นต้น ซึ่งสาเหตุเกิดจากรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน รวมทั้งการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ หรือใช้น้ำที่ไม่สะอาด เช่น น้ำคลอง มาประกอบอาหาร และยังรวมถึงการรับประทานอาหารที่ปรุงไว้นานข้ามมื้อ หรือเกิน 6 ชั่วโมง เช่น อาหารกล่องที่ทำไว้สำหรับคนจำนวนมาก ที่อาจจะบูดเสียได้ง่ายคำแนะนำ- ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม ไม่ควรทานอาหารค้างคืน หรือปรุงเสร็จมานานหลายชั่วโมงแล้ว เพราะอาหารอาจบูดเน่า
- ดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำที่ต้มแล้ว หรือน้ำบรรจุขวดที่มี อย.รับรองคุณภาพ
- ควรเลือกซื้อน้ำแข็งที่ไม่มีตะกอน และไม่ควรรับประทานน้ำแข็งที่ใช้สำหรับแช่อาหารอื่น
- ก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง ควรล้างมือให้สะอาดเป็นนิสัย
การป้องกันโรคในฤดูฝนนั้น นอกจากคำแนะนำข้างต้นแล้ว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ มีภูมิต้านทานเชื้อโรคต่างๆ ที่จะเข้าสู่ร่างกาย และการสวมเสื้อผ้ารักษาร่างกายให้อบอุ่น ก็เป็นเรื่องสำคัญ ควรดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้ม รับประทานอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม และล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง นอกจากนี้ ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือตามประกาศของทางราชการด้วย
ข้อมูลจาก : www.sanook.com, health.kapook.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง ชนิด A (H3N2)

ในช่วงไม่นานมานี้ หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ ชนิด A (H3N2) ที่ระบาดในฮ่องกง ที่กำลังตกเป็นข่าว จนทำให้เกิดการเล่าลือกันไปว่าเจ้าเชื้อโรคสายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์ที่อันตราย สร้างความหวาดกลัวกันเป็นวงกว้าง หลายคนก็ยังคงอยากรู้ว่าจริงๆ แล้วไข้หวัด H3N2 นั้นมีที่มา อาการ การรักษาและการป้องกันอย่างไร แล้วอันตรายอย่างที่อยู่ในกระแสข่าวจริงไหม
วันนี้ ELVIRA จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้กัน เพื่อความเข้าใจและเพื่อการเตรียมพร้อมรับมือกันได้แบบไม่ต้องตื่นตระหนกค่ะ
ลักษณะการแพร่เชื้อ
ไข้หวัดใหญ่ H3N2 สามารถแพร่เชื้อจากหมูสู่คนได้จากการรับประทานเนื้อหมูที่มีเชื้อไวรัสนี้อยู่ หรือจะเป็นการสัมผัสโดยตรงกับสุกรที่ติดเชื้อ นอกจากนี้การแพร่เชื้อจากคนสู่คนยังมีการแพร่กระจายเช่นเดียวกับการแพร่เชื้อของไข้หวัดใหญ่ทั่วไป อาทิเช่นการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วยก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ หรือหากผู้ป่วยจามหรือไอใส่ก็ทำให้ติดเชื้อได้เช่นกัน โดยระยะในการฟักตัวของเชื้อไวรัสชนิดนี้อยู่ที่ประมาณ 1-3 วัน
กลุ่มเสี่ยง เนื่องจากเป็นไข้หวัดใหญ่ที่มีการระบาดจากคนสู่คน กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงควรไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
- หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
- เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี
- เด็กที่ได้รับการรักษาด้วยยาแอสไพรินมาเป็นเวลานาน
- ผู้มีโรคเรื้อรัง คือ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน
- บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
- ผู้มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กก.
- ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
- ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย และ
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ)
ซึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้อาจมีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตได้หากได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง กลุ่มเสี่ยงสามารถรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ฟรีที่สถานพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน หากมีอาการไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมีไข้สูง ต้องรีบพบแพทย์โดยเร็ว ประชาชนสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
ลักษณะอาการของผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ H3N2
อาการของไข้หวัดใหญ่ H3N2 มักเริ่มด้วยการเป็นไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก ในเด็กอาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง อาการจะทุเลาและหายป่วยภายใน 5 – 7 วัน แต่บางรายที่มีอาการปอดอักเสบรุนแรง จะมีอาการหายใจเร็ว เหนื่อย หอบ หายใจลำบาก อาจทำให้เสียชีวิตได้
วิธีการรักษา
วิธีการรักษาของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้ จะรักษาตามอาการ ถ้ามีไข้ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว หากไข้ไม่ลดให้รับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล นอนหลับพักผ่อน ให้ดื่มน้ำมากๆ และสวมหน้ากากป้องกันโรคเพื่อป้องกันการแพร่กระจายโรคไปสู่ผู้อื่นในกรณีที่ต้องไปยังที่สาธารณะ หากอาการไม่ดีขึ้นใน 48 ชั่วโมง หรือมีอาการรุนแรงให้พบแพทย์ทันที โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงก็ควรได้รับยาและการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อน
การรักษาสามารถรักษาเหมือนโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไป โดยให้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) และซานามิเวียร์ ภายใน 48 ชั่วโมงแรกหลังจากเริ่มมีอาการ และมีอาการรุนแรง หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงโรครุนแรง ทั้งนี้ผู้ป่วยยังต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์
วิธีการป้องกัน
การป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่ H3N2 คือการป้องกันตัวและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอและควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อหรือการสัมผัสกับน้ำลายหรือน้ำมูกของผู้ป่วย และควรจะให้ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ H3N2 สวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโรคแพร่กระจายจากการไอหรือจาม รวมทั้งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงก็ควรไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้อีกด้วยเพื่อเป็นการป้องกันอีกทางหนึ่ง
สำหรับการป้องกัน
ขอแนะนำให้ใช้มาตรการ “ปิด ล้าง เลี่ยง หยุด” ได้แก่
- ปิด คือปิดปาก ปิดจมูก เมื่อไอ จาม ต้องใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชูปิดปากและจมูกทุกครั้ง หากเจ็บป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ ควรใส่หน้ากากอนามัย
- ล้าง คือล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่เมื่อสัมผัสสิ่งของ เช่น กลอนประตู ลูกบิด ราวบันได ราวจับบนรถโดยสาร
- เลี่ยง คือหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย และ
- หยุด คือเมื่อป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน หยุดกิจกรรมในสถานที่แออัด แม้ผู้ป่วยจะมีอาการไม่มากก็ควรหยุดพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านจนกว่าจะหายเป็นปกติ
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ H3N2 ในตอนนี้สามารถรักษาจนหายเป็นปกติและกลับบ้านได้แล้วค่ะ แม้ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ที่มีความรุนแรงเทียบเท่ากับไข้หวัดใหญ่ทั่วไป แต่เราก็ประมาทไม่ได้นะคะ เพราะหากติดเชื้อแล้วก็อาจจะทำให้เราต้องเสียการเสียงาน ต้องหยุดพักรักษาตัวอีกด้วย ดังนั้นทางที่ดีก็ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรงกันดีกว่าเนอะ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยใจกับอาการป่วยและค่ารักษาทีหลัง
ข้อมูลจาก : www.kapook.com , www.pptvhd36.com , www.amarinbabyandkids.com , www.thaihealthycare.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai
Cleaning, TIPS & TRICK
การทำความสะอาดโซฟาผ้า

การทำความสะอาดโซฟาผ้า
โซฟา เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่เกือบจะทุกบ้านและทุกคอนโดมีกันเลยก็ว่าได้ วันนี้ ELVIRA เลือกนำวิธีการทำความสะอาดโซฟาผ้ามาให้แฟนๆ ได้ลองไปใช้ทำความสะอาดดู และคราวถัดไปจะนำเสนอวิธีการทำความสะอาดโซฟาหนังมาแบ่งปันกัน ส่วนใครมีวิธีการทำความสะอาดที่ต่างจากนี้แล้วได้ผลดี ก็แบ่งปันกันได้ที่หน้าเพจของ ELVIRA ได้นะค่ะที่ www.facebook.com/elvirathai/
มาเริ่มกันเลยค่ะ
- โซฟาผ้า ปัจจุบัน โซฟาผ้า มีหลายหลายดีไซน์และคนสมัยนี้ก็นิยมใช้มากขึ้น เนื่องจากมีลวดลายสวยงาม แบบให้เลือกเยอะ แถมราคาก็ไม่แพง แต่ก็มีทั้งแบบถอดซักได้ และถอดซักไม่ได้ ดังนั้นจึงมีวิธีทำความสะอาดที่ต่างๆ กันไปค่ะ ลักษณะทั่วไปของโซฟาผ้าคือ เมื่อเราใช้ไปนานๆ โซฟาก็อาจมีกลิ่นอับ ฝุ่นไร และเชื้อโรคแบคทีเรียต่างๆ มากมาย ยิ่งบ้านไหนมีเด็กตัวเล็กๆ แล้วด้วย ก็คงจะเป็นห่วงกันไม่น้อย เพราะผ้าจะอมฝุ่น ใช้ไปนานๆ จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค การทำความสะอาดยาก ต้องใช้เครื่องดูดฝุ่นหรือต้องถอดซัก ยิ่งถ้าโดนของเหลวพวกน้ำหวาน หกใส่นี่เดือดร้อนเลย เพราะเช็ดไม่ได้
- สำหรับโซฟาชนิดผ้าที่ถอดซักทำความสะอาดได้ ให้ถอดปลอกหมอนและปลอกโซฟาไปซักทำความสะอาดก่อน โดยหลีกเลี่ยงการซักด้วยเครื่องเพราะอาจจะทำให้เนื้อผ้าเสียรูปทรงหรือเป็นขุยได้ เพราะฉะนั้นซักด้วยมือจะปลอดภัยที่สุด
- สำหรับโซฟาผ้าที่ถอดผ้าหุ้มไม่ได้ ให้ใช้เครื่องดูดฝุ่น ทำความสะอาดฝุ่นและเศษขนมต่างๆ ที่ตกค้างอยู่บนโซฟา โดยเฉพาะบริเวณที่พักแขนและพนักพิงซึ่งเป็นบริเวณที่มักจะมีฝุ่นเยอะกว่าบริเวณอื่นๆ หลังจากนั้น สามารถทำความสะอาดได้ โดยผสมน้ำเย็นและน้ำอุ่นอย่างละครึ่ง กับน้ำยาทำความสะอาดโซฟาโดยเฉพาะ หรืออาจจะใช้น้ำยาทำความสะอาดเบาะรถยนต์ก็ได้เช่นกัน ปริมาณที่ใช้ก็ตามฉลากที่บอกไว้ ค่อย ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำยาพอหมาด อย่าให้ชุ่มมาก (แนะนำให้ใช้ผ้าสีขาว เพื่อจะเห็นคราบสกปรกได้ชัด) แล้วเช็ดทำความสะอาดโซฟาให้ทั่ว โดยกดเน้นในจุดที่มีคราบสกปรกติดอยู่เป็นพิเศษ เพื่อกำจัดคราบให้จางลง หากผ้าเริ่มดำก็เปลี่ยนผ้าผืนใหม่ทันที คราบสกปรกจากผ้าจะได้ไม่ตกค้างบนโซฟาอีก จากนั้นให้ใช้ผ้าแห้งซับความชื้นในโซฟาอีกครั้ง จนแน่ใจว่าโซฟาเริ่มแห้ง และถ้าเป็นไปได้ก็ควรนำโซฟาไปตากแดดจัด ๆ เพื่อกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์และฆ่าเชื้อโรคไปด้วยในตัว หรือถ้ารีบจะใช้ไดร์เป่าผมมาเป่าอีกแรงก็ได้จ้า
- การใช้น้ำยาในการทำความสะอาด โดยใช้น้ำยา ทำความสะอาดเบาะรถยนต์ ซึ่งจะมีหลากหลายยี่ห้อ จะมีทั้งแบบโฟมและเป็นน้ำ อาจต้องเลือกดูที่คุณภาพ เพราะจะทำให้โซฟาสีไม่ซีดจาง และทำให้ดูใหม่อยู่เสมอ โดยใช้ผ้าเล็กๆ หลายๆ ผืน (ถ้าเป็นผ้าสีขาวจะดีมาก) จากนั้นฉีดน้ำยาลงบนโซฟาพอประมาณ ทิ้งไว้สักพักแล้วจึงใช้ผ้าเช็ด ออกแรงกดเล็กน้อย แล้วคราบก็จะจางหายไปเองซึ่งน้ำยาพวกนี้จะมีน้ำหอมดับกลิ่นผสมอยู่ ซึ่งจะช่วยดับกลิ่นได้พอสมควร และควรที่จะเอาโซฟาไปผึ่งแดดอ่อน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและกลิ่นให้อยู่หมัด
- บริเวณที่ไม่มีผ้าคลุม เช่น บริเวณขาโต๊ะ หรือบริเวณโครงโซฟา ก็ทำความความสะอาดง่ายๆ ด้วยผ้าชุบน้ำ บิดพอหมาด แล้วนำมาเช็ดทำความสะอาดให้ทั่ว หรือจะฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อผสมไปด้วยเพื่อฆ่าเชื้อโรคก็ไม่ว่ากันจ้า
- หากว่าขั้นตอนนี้ที่กล่าวมาข้างต้นดูมีหลายขั้นตอน แฟนๆ ELVIRA ที่มีเครื่องทำความสะอาดระบบไอน้ำ รุ่น C2 อยู่แล้ว ก็สามารถใช้เครื่อง C2 ทำความสะอาดโซฟาได้ โดยใช้ผ้าขนหนูที่แถมไป หุ้มหัวแปรงทำความสะอาดเบาะ แล้วใช้ไอน้ำพ่นทำความสะอาด จนคราบสกปรกนั้นหลุดติดมากับผ้าขนหนู แล้วเช็ดด้วยผ้าแห้ง ที่สะอาด จนไม่มีคราบไอน้ำ แล้วจึงลงแว็กซ์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงหนังเคลือบบางๆ ให้ทั่วโซฟา อย่าลืมเปิดหน้าต่างในห้อง เพื่อให้ระบายความชื้นจากไอน้ำด้วยนะคะ เพียง 3 ขั้นตอนเท่านี้ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ
- หมอนอิงก็ควรจะทำความสะอาดด้วยเช่นกัน โดยเริ่มจากการถอดปลอกหมอนออกไปซักก่อน เสร็จแล้วให้นำหมอนมาแช่ลงในน้ำอุ่นที่ผสมน้ำยาทำความสะอาดจนหมอนชุ่มน้ำยา ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นเทน้ำยาออก แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด พร้อมๆ กับใช้มือกดหมอนเพื่อบีบน้ำยาออกจากหมอนให้หมด หากน้ำในถังเต็มไปด้วยฟองจากน้ำยา ก็ให้เปลี่ยนน้ำใหม่ ทำซ้ำอย่างนี้จนแน่ใจว่าไม่มีน้ำยาตกค้างในหมอนอีกแล้ว จากนั้นนำไปตากในที่ที่ลมโกรกดี และแสงแดดส่องถึง โดยหลีกเลี่ยงการตากในมุมอับชื้น เพื่อป้องกันเชื้อราไม่ให้มาเจริญเติบโตในหมอนได้ค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นโซฟาแบบไหน ELVIRA ก็จัดหาวิธีการทำความสะอาดมามอบให้แฟนๆ ได้ จากนี้ไปโซฟาตัวโปรด จะกลายเป็นโซฟาตัวใหม่ตลอดไป แม้ว่า จะผ่านไปนานกี่ปีแล้วก็ตาม
ข้อมูลจาก : aseanliving.com, thaihometown.com, kapook.com, th.wikihow.com, excellamattress.com, www.sofabeddecor.com
Facebook : Elvirathai
Twitter : Elvirathai